ศูนย์วิจัยสัตว์น้ำมีเป้าหมายเพาะพันธุ์ปลาเพิ่ม 4 ล้านตัว

ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางน้ำมีชีวิต (LARReC) ภายใต้กระทรวงเกษตรและป่าไม้ตั้งเป้าการเพาะพันธุ์ปลา 4 ล้านตัวในปีนี้เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหารของประเทศและยังจะร่วมมือกับเครือข่ายฟาร์มเอกชนอีก 15 แห่งทั่วประเทศเพื่อเพิ่มผลผลิตปลาตามที่ระบุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงในปัจจุบันซึ่ง LARReC จะมีให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในท้องถิ่นเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ LARReC อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยสภาพอากาศที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตเป็นปัญหาที่ศูนย์ไม่สามารถควบคุมได้ถือเป็นความท้าทายของศูนย์ในการแก้ปัญหาดังกล่าว ปัจจุบันโครงการดังกล่าวถือว่าประสบความสำเร็จจากการเพิ่มผลผลิตปลาได้มากถึง 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วทำให้ไม่ต้องมีการนำเข้าปลาจากต่างประเทศมากเหมือนแต่ก่อน ทำให้มีปลาบริโภคในราคาที่ถูกลงรวมถึงสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกรอีกด้วย

ที่มา: http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Aquatic.php

ข้อตกลงใหม่ปูทางสำหรับการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับ Marubeni Corporation ของญี่ปุ่นและกลุ่ม AMZ ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศลาวโดยบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับโครงการได้ลงนามเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการลงนามเพื่อศึกษาการใช้เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เข้ามาในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสปป.ลาว นอกจากนี้ยังถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุค 4.0 ที่ต้องการใช้การวิจัยเพื่อยกระดับเทคโนโลยี โดยเฉพาะในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด การลงนามดังกล่าวไม่เพียงแค่สนับสนุนการพัฒนาทที่สำคัญแต่กระทรวงเชื่อว่าการลงนามในบันทึกความเข้าใจเป็นขั้นแรกในการก้าวไปสู่การลงนามในบันทึกข้อตกลงในอนาคตอันใกล้

ที่มา: http://annx.asianews.network/content/new-agreement-paves-way-solar-power-development-

เวียดนามเผยเดือนม.ค. ขาดดุลการค้า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าเวียดนามขาดดุลการค้า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมกราคมของปีนี้ โดยแบ่งมูลค่าการส่งออก 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 15.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 19.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 14.4 ทั้งนี้ สินค้าส่งออกที่ยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (+5.6%) ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ทำมาจากไม้ (+1.4%) สำหรับสินค้าส่งออกรายการอื่นๆ ที่มีมูลค่าลดลง ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม (-21%) โทรศัพท์และส่วนประกอบ (-22.4%) และรองเท้า (-9.7%) ซึ่งสหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาจีน สหภาพยุโรป ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน จีนยังคงเป็นตลาดนำเข้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาเกาหลีใต้และอาเซียน ตามลำดับ นอกจากนี้ ทางผู้เชี่ยวชาญมองว่ากิจกรรมการค้าระหว่างประเทศได้รับอิทธิพลมาจากช่วงวันหยุดยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันปีใหม่ตามปฏิทินทางจันทรคติที่แสดงให้เห็นว่ามียอดการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น จนส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้า

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-reports-trade-deficit-of-100-million-usd-in-january/168057.vnp

กระทรวงอุตฯ เผยวิกฤตไวรัสโคโรนาอาจกระทบภาคการส่งออกไปยังจีน

จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม เปิดเผยว่าทางหน่วยงานจับตาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง และให้ผู้ประกอบการเตรียมรับมือกับผลกระทบจากการส่งออกในทิศทางที่เป็นลบ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกเกษตรไปยังจีน ซึ่งในปัจจุบัน คาดว่าไวรัสโคโรนายังไม่น่ากระทบต่อการค้าระหว่างเวียดนามกับจีน อย่างไรก็ตาม มีสัญญาบ่งบอกว่ายอดขายสินค้าเกษตรบางรายการไปยังจีนเริ่มชะลอตัวแล้ว เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวและความเข้มงวดในการป้องกันของไวรัส ทำให้การส่งออกมีความยากลำบากมากขึ้น ทั้งนี้ ทางกรมส่งเสริมการค้าได้แนะนำให้ผู้ประกอบการเวียดนามเตรียมค้นหาตลาดอื่นๆ เพื่อให้มาทดแทนกับตลาดจีน สำหรับตัวเลขสถิติการค้าระหว่างประเทศ พบว่าในปี 2562 ยอดส่งออกสินค้าของเวียดนามอยู่ที่ 41.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ที่มาจากสินค้าเกษตรกรรม โดยจีนยังคงเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

ที่มา : https://www.vir.com.vn/coronavirus-might-affect-exports-to-china-ministry-73553.html

ตัวแทนบริษัทจากสหรัฐอเมริกาจะไปเยือนกัมพูชา

ตัวแทนจาก 16 บริษัท จากสหรัฐอเมริกาจะไปเยือนกัมพูชาในสัปดาห์นี้เพื่อสำรวจแนวโน้มล่าสุดในภาคเกษตรกรรมของประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักเช่น Amazon, John Deer, IBM, Walmart, US Grains Council และ Sripipat Engineering โดยมีกำหนดการจะเดินทางมาถึงกัมพูชาในต้นเดือนหน้าตามที่สถานทูตสหรัฐฯในกรุงพนมเปญรายงาน ซึ่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจในภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา โดยบริษัทจะมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีความปลอดภัยทางชีวภาพ และความปลอดภัยของอาหารในภาคเกษตรกรรม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแนะนำให้บริษัทจากสหรัฐสามารถลงทุนในการเกษตร การแปรรูปอัญมณี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยข้อมูลการค้าระหว่างสองประเทศระหว่างกัมพูชาและสหรัฐอเมริกามีมูลค่าราว 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50686575/us-firms-to-visit-cambodia

พอร์ตฝั่งสินเชื่อในกัมพูชามีมูลค่าสูงถึง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ประธานกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ (CMA) ของสมาคมไมโครไฟแนนซ์กัมพูชากล่าวว่าภาคการเงินจะยังคงแข็งแกร่งต่อไปเนื่องจากมีพอร์ตสินเชื่อมากกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยตั้งข้อสังเกตว่ามี 2.1 ล้านคน ในกัมพูชาใช้บริการของผู้ให้กู้รายย่อยรวม 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 เพิ่มขึ้นกว่า 30% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเขาตั้งข้อสังเกตเพิ่มขึ้นอีกว่าผลประกอบการที่ดียังสะท้อนถึงสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ซึ่งเขากล่าวว่าเงินให้สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 30 วันนั้นต่ำกว่า 1% ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้ว โดยลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม การค้าและการผลิต ซึ่งกระทรวงเศรษฐกิจและการเงินคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาเฉลี่ย 6.1% ในปีนี้ โดยสาเหตุหลักคาดว่ามาจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ การระบาดของ Coronavirus การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางการเมืองระหว่างประเทศ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อตกลงการค้า EBA ระหว่างกัมพูชาและสหภาพยุโรป รวมไปถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50686626/loan-portfolio-goes-over-7bln-but-is-predicted-to-be-lower-this-year

รายได้จากสินค้าเกษตรเมียนมามากกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ

เมียนมามีรายรับ 1.082 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกสินค้าเกษตรตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 17 มกราคมในปีงบประมาณนี้และเมื่อเทียบกับการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่141.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เมียนมาส่งออกสินค้าเกษตร ประมง เหมืองแร่ ป่าไม้  สินค้าที่ผลิตแบบ CMP (Cutting Making และ Packaging) และอื่นๆ เมียนมาส่วนใหญ่ส่งออกข้าว งานแสดงสินค้าอัญมณีสามารถเพิ่มการขายหยก สินค้าที่ผลิตแบบ CMP เพิ่มขึ้นทุกปี ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นเพื่อสร้างรายได้มากขึ้น ส่วนการส่งออกถั่วลดลงเป็น 80,000 ตันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-earns-over-us1-b-from-agricultural-products

เมียนมาเล็งหาตลาดส่งออกใหม่หลังการระบาดของไวรัสโคโรน่าในจีน

เมียนมาเร่งขยายการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ เพื่อชดเชยต้องการที่ของจีนซึ่งกำลังได้รับผลดระทบจากไวรัสโคโรนา ที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 14,000 คนและเสียชีวิตกว่า 300 รายส่วนใหญ่มาจากมณฑลหูเป่ย ปัจจุบันการส่งออกแตงหยุดชะงักและราคาได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงมีการเตรียมการที่จะส่งสินค้าไปยังตลาดอื่น ๆ มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของอุปสงค์จากจีน โดยมีการวางแผนในการส่งออกสินค้าทางอากาศและทางทะเลเพื่อชดเชยการค้าที่ชายแดนที่ลดลง นับตั้งแต่มีการระบาดของโคโรนาไวรัสจีนได้หยุดการนำเข้าแตงและเก็บสต๊อกผลไม้ในมณฑลยูนนาน ประมาณ 80 %ของการค้าชายแดนทั้งหมดเกิดขึ้นที่ด่านมูเซ ปริมาณการค้าชายแดนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างวันที่ 1 ตุลาคมถึง 24 มกราคมของปีงบประมาณปัจจุบัน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-hedge-against-slower-china-trade-due-coronavirus.html

สนค. ชี้ส่งออก2563 มีโอกาสบวก เปิดลิสต์ “30 สินค้าดาวเด่น”

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออก 2563 คาดการณ์จะกลับมาดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดย IMF คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.3 % ในปี 63 ท่าทีความพร้อมในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของหลายประเทศ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มผ่อนคลายจากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (Phase-1 Deal) สถานการณ์ Brexit มีความชัดเจนแล้ว และมีช่วงเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งจะยังไม่ส่งกระทบต่อผู้ประกอบการไทย และค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มอ่อนค่าลง  ทั้งนี้ สนค. จึงได้ทำการวิเคราะห์สินค้าที่มีแนวโน้มการส่งออกขยายตัวได้ดี และควรที่จะเร่งผลักดันการส่งออกเพิ่มมากขึ้นในปี 2563 โดยพบว่ามีสินค้ากว่า 30 รายการ ครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม สำหรับสินค้าทั้ง 30 รายการ ในกลุ่มของสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง นมและผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ นาฬิกาและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องสำอางสบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว  ผ้าแบบสำหรับตัดเสื้อ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ส่วนการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีน ยังไม่น่ากระทบต่อการส่งออกไทยในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่มีมูลค่าสูงในตลาดจีน เพราะมีอุปสงค์ซื้อสินค้าอาหารไทยที่มีความปลอดภัยและคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง ทางด้านการรับมือกับผลกระทบจากการที่จะถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่และเตรียมมาตรการรองรับในทุกกรณีอย่างรัดกุม และในด้านการรักษาตลาด มีแผนจัดกิจกรรมนำคณะภาครัฐและเอกชนบุกตลาดเป้าหมายกว่า 18 ประเทศ ในปี 2563 เพื่อรักษาฐานเดิมและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพอย่างครอบคลุม และกระจายความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีตลาดเป้าหมายการจัดกิจกรรมในตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย บังคลาเทศ CLMV ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร รัสเซีย แอฟริกา แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง บาห์เรน และออสเตรเลีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-417259

เวียดนามเผยดัชนีผลผลิตอุตฯ ม.ค. หดตัว

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (IIP) ในเดือนม.ค. ลดลงร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 11.8 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตฯในเดือนม.ค.ลดลง เป็นผลมาจากอยู่ในช่วงเทศกาลวันปีใหม่และจำนวนวันทำงานลดลง ทั้งนี้ ดัชนีผลผลิตอุตฯส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรมการแปรรูปและการผลิต ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.8 ขณะที่ ภาคการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าลดลงร้อยละ 3.5 ส่วนภาคเหมืองแร่ลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีการลดลง ได้แก่ รถยนต์ น้ำตาล มอเตอร์ไซต์ แก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) ถ่านหิน นมผงและเหล็กดิบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บางรายการของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีการเพิ่มขึ้น ได้แก่ แร่โลหะ เหล็กเส้นและเหล็กฉาก โทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ GSO ระบุว่าการผลิตจะฟื้นตัวอีกในไม่ช้า เพราะว่าในเดือนม.ค. จำนวนพนักงานในสถานประกอบการอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/national-index-of-industrial-production-down-in-january-409500.vov