นักเศรษฐศาสตร์แนะอาเซียนพึ่งตนเองหนุนศก.โต

นักเศรษฐศาสตร์แนะชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเฉพาะเวียดนามว่าให้พึ่งพาเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของตนเอง โดยเฉพาะการกระตุ้นความต้องการภายในประเทศท่ามกลางภาวะไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ จากรายงานเศรษฐกิจของธนาคารเอชเอสบีซี ระบุว่า ภูมิภาคอาเซียนถือว่าได้เปรียบภูมิภาคอื่นที่มีการลงทุนใหม่ๆในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แต่ละประเทศกำหนดไว้ ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้ดีขึ้น ประกอบกับภูมิภาคเอเซียอยู่ตรงกลางในการเชื่อมโยงทางภูมิประเทศ จึงเป็นโอกาสและความท้าทายรวมไปถึงจำนวนประชากรรวมกันกว่า 642 ล้านคน ด้วยเหตุนี้ อาเซียนจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพอย่างมากและเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นักเศรษฐศาสตร์แนะนำว่าทุกประเทศในอาเซียนควรสามัคคีกันและกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาด้านนวัตกรรมและการลงทุนใหม่ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ทีมวิจัยเศรษฐกิจของเอชเอสบีซีเวียดนาม มั่นใจว่าเศรษฐกิจของอาเซียนจะสนับสนุนให้จีดีพีโลกขยายตัวมากถึง 8% หากดำเนินปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างแท้จริงและลดข้อจำกัดทางการค้าที่มิใช้ภาษี รวมถึงเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในทุกๆด้วยอีกด้วย

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/863884

จังหวัดเกียนซางมุ่งเน้นเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่สำคัญ

จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรและพัฒนาชนบทจังหวัด เปิดเผยว่าในจังหวัดบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้เน้นให้เพิ่มมูลค่าสินค้าและยกระดับความสามารถในการแข่งขันขอลผลิตสินค้าเกษตรในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าสำคัญ ได้แก่ ข้าวและการประมง เป็นต้น โดยในจังหวัดเกียนซาง (Kien Giang) เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวสำคัญรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งตั้งเป้าผลผลิตข้าวเปลือกอยู่ที่ 4.3 ล้านตันในปีนี้ และการประมงรวมทั้งสิ้น 755,000 ตัน รวมไปถึงปริมาณกุ้งราว 85,000 ตัน ทั้งนี้ ผลผลิตสินค้าเกษตรได้เผชิญกับปัญหาหลายด้านด้วยกัน เช่น ปัญหาการรุกตัวของน้ำเค็มและผลผลิตการประมงที่ลดลง ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับปัญหาดังกล่าวแต่ก็ยังอยู่ในปริมาณผลผลิตที่จังหวัดได้ตั้งเป้าไว้ในปีที่แล้ว ซึ่งทางจังหวัดได้จัดตั้งพื้นที่การเกษตรที่เข็มข้นขึ้นและส่งเสริมการพัฒนาเกษตรกรรม รวมไปถึงความร่วมมือกับผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับมูลค่าของสินค้าเกษตร นอกจากนี้ รองผู้อำนวยการสำนักงานเกษตรและพัฒนาชนบท ระบุว่าชาวประมงได้รับการส่งเสริมในการใช้เทคนิคขั้นสูงสำหรับจัดการผลิตผล เพื่อปรับปรุงคุณภาพและรักษาสายพันธุ์สัตว์น้ำ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/kien-giang-aims-to-raise-value-of-key-farming-products/167850.vnp

ราคาพริกไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ ในปีนี้

ราคาพริกไทยคาดว่าน่าจะยังไม่ฟื้นตัวหลังจากลดลงอย่างมากในปี 2562 เนื่องจากผลผลิตมีปริมาณมาก ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังไม่ส่งสัญญาที่ดีขึ้น ซึ่งทางสมาคมพริกไทยเวียดนาม (VPA) คาดว่าตลาดในประเทศยังคงสต๊อกสินค้าอยู่จำนวนมาก เนื่องมาจากการเก็บเกี่ยวพืชผลในครั้งก่อน สำหรับตลาดโลก ผลผลิตพริกไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตพริกไทยรายใหญ่ ได้แก่ อินเดียที่จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตพริกไทยอยู่ที่ 61,000-62,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 30%YoY) เป็นต้น และด้วยจำนวนพื้นที่เพาะปลูกพริกไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในอีกหลายๆประเทศ ตั้งแต่ปี 2559-2560 ทำให้ผลผลิตพริกไทยทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงสิ้นปี 2563 ทั้งนี้ ด้านการส่งออก พบว่าปริมาณส่งออกพริกไทยของเวียดนามทำสถิติสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แต่มูลค่าส่งออกกลับลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็นผลมาจากราคาในตลาดโลกลดลง โดยจากรายงานของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ระบุว่าในปีที่แล้ว เวียดนามส่งออกอยู่ที่ 284,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าราว 715 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้น 23.4%YoY และลดลง 5.7%YoY ตามลำดับ) ซึ่งประเทศสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกพริกไทยรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วน 19.5% ของยอดส่งออกทั้งหมด รองลงมาอินเดีย เยอรมันและเนเธอแลนด์ ตามลำดับ นอกจากนี้ เวียดนามยังมีการขยายตัวของการส่งออกพริกไทยไปยังตลาดบางแห่งสูงขึ้น รวมไปถึงไทย รัสเซียและตุรกี

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/591556/pepper-price-to-remain-low-this-year.html

กัมพูชาผลิตข้าวได้ถึง 8 ล้านตันในช่วงฤดูฝนจากรายงานปี 2562

จากรายงานมีการเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกในฤดูฝนถึง 7.9 ล้านตัน ในปี 2562 ในขณะที่การส่งออกข้าวสารมีปริมาณอยู่ที่ 620,106 ตัน ลดลงจากปีก่อนประมาณ 1% ซึ่งรายงานจากกระทรวงเกษตรป่าไม้และประมงเปิดเผยว่า ณ เดือนธันวาคมปีที่แล้วมีการปลูกข้าวบนพื้นที่ 2.5 ล้านเฮกตาร์ โดยมีผลผลิตเฉลี่ย 3.1 ตัน ต่อเฮกตาร์ ซึ่งข้าวสารของกัมพูชาถูกส่งออกไปยัง 59 ประเทศ โดยบริษัทส่งออกข้าวชั้นนำ 89 แห่งในปีที่แล้ว ซึ่งจีนเป็นตลาดข้าวที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา ทำการนำเข้าข้าวจากกัมพูชาไปถึง 248,105 ตัน ตามด้วยฝรั่งเศสและกาบอง 81,905 ตันและ 36,663 ตันตามลำดับ แม้ว่าโควต้าส่งออกไปยังจีนจะอยู่ที่ 400,000 ตันในปี 2562 แต่การส่งออกก็ต่ำกว่าเป้าหมายเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยรายงานกล่าวเสริมว่ากัมพูชาผลิตข้าวเปลือกได้ 7.4 ล้านตันในปี 2561 เพิ่มขึ้น 3.5% ซึ่งการผลิตรวมในปี 2561 เป็นเพียง 88.47% ของสิ่งที่รัฐบาลคาดการณ์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50684529/8-million-tons-of-wet-season-rice-production-reported-in-2019

กลุ่มบริษัทซีพีสนใจร่วมลงทุนผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศกัมพูชา

กลุ่ม CP หรือเครือเจริญโภคภัณฑ์แสดงถึงความต้องการในการผลิตเมล็ดกาแฟในกัมพูชาเพื่อส่งไปยังตลาดไทยเนื่องจากอุปทานเมล็ดกาแฟในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถตอบสนองความต้องการภายในประเทศได้อย่างครอบคลุม ซึ่งตัวแทนฝ่ายธุรกิจของกลุ่ม CP แสดงความสนใจโดยได้เข้าพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาในกรุงพนมเปญ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงได้อธิบายเกี่ยวกับไร่กาแฟจำนวนมากในกัมพูชาซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดมณฑลคีรีและรัตนคีรี นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้ CP ทำการสำรวจภาคสนามในพื้นที่ดังกล่าวและร่วมมือกับชุมชนผู้ผลิตเมล็ดกาแฟเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ในการลงทุน ซึ่งรัฐมนตรียังสนับสนุนให้กลุ่ม CP ขยายการดำเนินงานในกัมพูชาไปยังสาขาอื่นๆ เช่นการแปรรูปข้าวมันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นต้น โดยถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่ทำการส่งออกไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนมาก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50684520/cp-group-of-thailand-to-venture-into-coffee-production-in-cambodia

ไตรมาสแรกของปีงบฯ 62-63 FDI เมียนมาพุ่ง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เมียนมาสามารถดึงดูดเงินลงทุนกว่า 1.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากต่างประเทศ ของปีงบประมาณ 62-63 ซึ่งเริ่มในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 62 ถึง 24 มกราคมของปีงบประมาณนี้ เดือนที่แล้วมี บริษัท ต่างประเทศ 23 แห่งที่มีเงินลงทุนมากกว่า 433.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการลงทุนพม่า (MIC) เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น 11,951 ตำแหน่ง การลงทุนแบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ปศุสัตว์และการประมง และภาคการผลิตตามลำดับ ในขณะเดียวกัน MIC ไฟเขียวแก่ผู้ประกอบการชาวเมียนมา 39 ราย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 647.6 พันล้านจั๊ต (431.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ย่างกุ้งดึงดูดการลงทุน 60% ทั้งในประเทศและต่างประเทศตามด้วยมัณฑะเลย์ 30% และที่เหลือไหลไปสู่ภูมิภาคและรัฐอื่น ๆ สิงคโปร์ จีน และไทยเป็นนักลงทุนหลัก กฎหมายบริษัทใหม่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561 ให้การยกเว้นภาษีแก่นักลงทุนโดยขึ้นอยู่กับการพัฒนาของภูมิภาคและรัฐ

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2020-01/28/c_138739270.htm

รอบสองเดือนการค้าเมียนมา-จีน แตะ1.337 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

มูลค่าการค้าระหว่างเมียนมาและจีนอยู่ที่ 1.337 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสองเดือนของปีงบประมาณนี้และเมียนมามีดุลการค้าเนื่องจากนำเข้าสินค้าเพียง 551 ล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออกมูลค่ากว่า 785 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งสองประเทศเปิดศูนย์ธุรกิจและดำเนินการเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการลงทุนตามที่กระทรวงกำหนด กระทรวงพาณิชย์ของเมียนมาลงนาม MoU กับจีนเพื่อจัดตั้งเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจชายแดน (EOI) และเชิญให้นักธุรกิจท้องถิ่นเข้าร่วมในพื้นที่ดังกล่าวเช่น Muse, Nantkhan, Kanpiketie, Laukkai และ Chinshwehaw

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-china-trade-volume-reaches-to-us1337-b-within-two-months

ฝ่ายอุตสาหกรรมและการพาณิชย์นครหลวงเวียงจันทน์เผยแผนส่งเสริมความสำเร็จ SMEs ปี 63

ทางการเวียงจันทน์ได้วางแผนเพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการเข้าถึงการเงินและตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในปีนี้ร้อยละ 10ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมและการพาณิชย์นครหลวงเวียงจันทน์ได้เปิดเผยแผนดังกล่าวในการประชุมสภาประชาชนของนครหลวงเวียงจันทน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยแผนมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับ SMEs รวมถึงเอื้ออำนวยความสะดวกต่อการดำเนินงานของ SMEs,การเข้าถึงการเงินที่ดีขึ้น, การสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEsใหม่,การเข้าถึงและขยายตลาดที่มากขึ้น,การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นรวมถึงการใช้บริการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SMEs จดทะเบียน 474รายและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดีนอกจากจะมาจากการลงทุนจากภาคต่างประเทศแล้ว สปป.ลาวจะพัฒนาผู้ประกอบการในประเทศเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้รวมถึงสนับสนุนให้เกิดธุรกิจเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นรากฐานที่ดีของเศรษฐกิจต่อไป

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/city-commerce-department-reveals-plan-boost-success-smes-112776

Lao Airlines ระงับเที่ยวบินไปยังจีน

Lao Airlines จะยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดจากเวียงจันทน์ไปยังจุดหมายปลายทางสามแห่งในจีน ได้แก่ ฉางโจว เซี่ยงไฮ้และหางโจวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อควรระวังหลังจากเกิดการระบาดของโรค coronavirus ในหวู่ฮั่น ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ของผู้ให้บริการธงประจำชาติกล่าวว่า“ เราวางแผนที่จะหยุดเที่ยวบินจากเวียงจันทน์ไปยังจุดหมายปลายทางทั้งสามเป็นการชั่วคราวเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส โดยจะปิดจนกว่าเราจะได้รับการแจ้งเตือนเพิ่มเติมจากรัฐบาลจีนเกี่ยวกับสถานการณ์” การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่ายังคงแพร่กระจายและไม่มีวัคซีนรักษาทำให้ จีนมีมาตราการห้ามคนเข้าและคนออกไปยังประเทศปลายทางๆอื่นร่วมถึงสปป.ลาว ในระยะยาวหากสถานการณ์กินเวลานานสิ่งที่ตามมาคือพิษทางเศรษฐกิจที่จะส่งผลไปยังนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสปป.ลาวที่จะสูญเสียนักท่องเที่ยวชาติหลักอย่างจีนในช่วงนี้ไป ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนปี 61 เข้ามาเที่ยวในสปป.ลาวมากถึง 4.9 ล้านคนรวมถึงกลุ่มลงทุนชาวจีนที่เป็นกลุ่มนักลงทุนหลักของสปป.ลาว ดังนั้นสปป.ลาวเศรษฐกิจอาจชะงักลงได้ชั่วขณะจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-airlines-suspend-flights-three-chinese-routes-112774