‘เวียดนาม’ โตทุ่มตลาด เตรียมจ่อเก็บภาษีน้ำตาลจากไทย

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) เปิดเผยว่าเป็นครั้งแรกที่กระทรวงฯ ทำการทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนน้ำตาลจากไทย โดยได้ออก Decision No. 1989/QD-BCT มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2566 – 15 มิถุนายน 2569 ทั้งนี้ ผลการบังคับจะมีผลต่อบริษัทไทยบางแห่ง ได้แก่ บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด และบริษัทในเครือ 4 แห่ง ตามมาด้วยบริษัท ซีซาร์นิโคว, บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด และบริษัทในเครืออีก 5 แห่ง ด้วยเหตุนี้ จากการพิจารณามาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด พบว่าอากรตอบโต้การทุ่มตลาด เรียกเก็บขั้นต่ำ อยู่ที่ 25.73% และอัตราสูงสุดที่ 32.75% นอกจากนี้ ภาษีต่อต้านการอุดหนุน อยู่ที่ 4.65%

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/vietnam-to-impose-anti-dumping-duty-on-sugar-imports-from-thailand/

‘ซีไอเอ็มบี’ ชี้ไทยแห่ลงทุนนอก หวัง ‘ขยายตลาด-ดันรายได้โต’

นายวุธว์ ธนิตติราภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บรรษัทธุรกิจและธุรกรรมการเงิน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนต่างประเทศของลูกค้ารายใหญ่ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทไทยที่มีแผนชัดเจนจะไปเปิดตลาดในต่างประเทศ ในหลากหลายภาคธุรกิจ ได้แก่ พลังงาน ปิโตรเคมี ค้าปลีก อุตสาหกรรมยานยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม และเกษตรแปรรูป เป็นต้น ทั้งนี้รูปแบบของการออกไปขยายตลาดต่างประเทศมีครบทุกรูปแบบ ทั้งการลงทุนขยายกิจการ เช่น การสร้างโรงงาน ,การร่วมลงทุนกับพันธมิตร และการทำ M&A ซึ่งปัจจัยทางการเมืองของแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงการเมืองไทย เป็นเพียงปัจจัยเสี่ยงหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ธนาคารมีลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน รูปแบบ M&A อีก 3-4 ดีล มูลค่าการลงทุนต่อรายเฉลี่ย 500 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป หรือราว 1,700 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้ธนาคารมีโอกาสปิดดีล M&A ได้ราว 2-3 ดีล  ซึ่งเป็นส่วนผลักดันสินเชื่อการลงทุนต่างประเทศใกล้แตะระดับ 100,000 ล้านบาท ทั้งนี้จากการทำงานของธนาคารที่เป็นสะพานเชื่อมพาลูกค้าไปขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่องหลายปี พบว่า อุปสรรคที่ทำให้บริษัทไม่ออกไปเปิดตลาดหรือขยายธุรกิจ คือ 1. ด้านกฎระเบียบ กฏเกณฑ์ 2. ความเสี่ยงทางการเมืองและนโยบายของประเทศที่ไปลงทุน 3. การแข่งขันในตลาดของแต่ละประเทศ 4. ด้านวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น 5. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและธุรกรรมการเงิน

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1082568

‘สพพ.’เพิ่มช่วยเหลือ สปป.ลาว ฝึกคนขับรถไฟ – ทำแผนธุรกิจสถานี‘บ้านคำสะหวาด’

นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ ก่อสร้างทางรถไฟสายท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ ระยะที่ 2 ส่วนที่ 2 (รถไฟไทย-ลาว)  สถานีรถไฟเวียงจันทน์ บ้านคำสะหวาด ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการระยะแรกของเส้นทาง ว่าขณะนี้โครงการแล้วเสร็จเรียบร้อยและอยู่ระหว่างรอกำหนดการจากทั้งสองประเทศคือไทย และสปป.ลาวที่จะกำหนดให้มีการเปิดใช้สถานีอย่างเป็นทางการ โดยจากการหารือกันระหว่าง สพพ. และตัวแทนรัฐบาลจาก สปป.ลาว ซึ่งได้ร้องขอให้ไทยให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในเรื่องของการฝึกอบรมพนักงานขับรถไฟ ช่วยทำแผนธุรกิจเตรียมเปิดสถานีบ้านคำสะหวาด เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ขออนุมัติเงินกู้ 1.8 พันล้าน ให้ สปป.ลาว พัฒนาเส้นทางหมายเลข 12 (R12) เชื่อมนครพนม – ลาว – เวียดนาม เพิ่มมูลค่าการค้า 3 ประเทศ

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1082354

‘เวียดนาม’ เผยช่วง 7 เดือนแรกปี 66 ส่งออกน้ำมันดิบ 1.76 ล้านตัน

กรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกน้ำมันดิบไปยังตลาดต่างประเทศ 1.76 ล้านตัน มูลค่ารวม 1.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.7% ในเชิงปริมาณ แต่ลดลง 10.4% ในเชิงมูลค่า เมื่อเทียบเป็นรายปี ตามลำดับ ในขณะที่เดือน ก.ค. เพียงเดือนเดียว พบว่าเวียดนามทำรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบ ปริมาณ 350,000 ตัน มูลค่า 224 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 52.2% และ 7.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน นอกจากนี้ เวียดนามนำเข้าน้ำมันดิบในเดือน ก.ค. ปริมาณ 1.5 ล้านตัน มูลค่า 862 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 120.6% และ 49.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี อย่างไรก็ดี ไทยและออสเตรเลียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-exports-1-76-million-tonnes-of-crude-oil-in-seven-months-2174928.html

เงินเฟ้อไทย ก.ค. 66 เพิ่ม 0.38% ยังต่ำสุดในอาเซียน

นายพูนพงษ์ นัยนาภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 107.82 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2556 ที่อยู่ที่ 107.41 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้นเพียง 0.38% ซึ่งสูงขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากเทียบเงินเฟ้อไทยกับต่างประเทศ (ข้อมูลล่าสุดเดือน มิ.ย. 2566) พบว่าอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ และต่ำที่สุดในอาเซียน นอกจากนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในอีก 5 เดือนที่เหลือ เงินเฟ้อน่าจะเพิ่มขึ้นไม่เกินเดือนละ 1%

ที่มา : https://www.prachachat.net/economy/news-1364174

พาณิชย์ชี้ตลาดส่งออกยานยนต์ไปอินเดียสดใสด้วยแต้มต่อ FTA

นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก น.ส.กัญญาวัลย์ สืบสิงห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเจนไน เกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดยานยนต์และอินเดียในช่วงที่ผ่านมาว่า มูลค่าจำหน่ายยานยนต์ของอินเดียในเดือน มิ.ย.66 ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นรถสามล้อ 75% รถแทรกเตอร์ 41% รถจักรยานยนต์ 7% รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 5% และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 0.5% เนื่องจากอินเดียไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ได้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ ทั้งนี้ ตลาดยานยนต์อินเดียเติบโตและไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อินเดียนำเข้าชิ้นยานยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีภายใต้ FTA ไทย-อินเดีย และ FTA อาเซียน-อินเดีย ดังนั้นผู้ส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยควรสร้างจุดเด่นให้กับสินค้าและบริการของตน ตอบสนองความต้องการของตลาด โดยอาจหารือร่วมกับผู้นำเข้า เพื่อขยายส่วนแบ่งให้เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดอินเดียในอนาคต สร้างโอกาสในการทำเงินเข้าประเทศต่อไป

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2023/323808

รายได้ท่องเที่ยวไทย 7 เดือน ทะลุ 1 ล้านล้าน แต่ทั้งปีหลุดเป้า

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวของไทย ในช่วง 7 เดือนแรกของปี โดยภาคการท่องเที่ยวสร้างรายได้รวมกว่า 1,084,575 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 638,161 ล้านบาท ทั้งนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 30 ก.ค. มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยแล้วกว่า 15,322,175 คน เพิ่มขึ้นถึง 384% เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนของปีที่แล้ว อย่างไรก็ดีหากมองในแง่ของจำนวนนักท่องเที่ยว ยังถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยสร้างรายได้รวมจากภาคการท่องเที่ยวรวมกว่า 3 ล้านล้านบาท ดังนั้นในปี 2565 ตั้งเป้าสร้างรายได้สัดส่วน 50% จากปี 2562 หรือ 1.5 ล้านล้านบาท แต่สามารถทำได้ 1.23 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 94% จากเป้าหมาย ขณะที่ในปี 2566 ตั้งเป้าสร้างรายได้ 80% จากปี 2562 หรือ 2.38 ล้านล้านบาท แต่คาดว่าจะสามารถทำได้ 2.167 ล้านล้านบาท หรือ 91.76% จากเป้าหมาย ส่วนในปี 2567 ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 100% ของปี 2562 เพื่อให้กลับมามีรายได้ 3 ล้านล้านบาท

ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/economy/572493

นานาชาติมั่นใจตลาดค้าปลีกไทยยังเติบโต ผนึกกำลังเตรียมจัดงาน VEND ASEAN 2023

เชื่อมั่นอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยปี 2566 ยังคงเติบโต สมาคมอาเซียน แปซิฟิก เวนดิ้ง ร่วมกับ บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป และบริษัท คอมพาส เอ็กซิบิชั่น จำกัด เตรียมจัดงานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องอำนวยความสะดวกและเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2566 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดผลตอบรับมีผู้ร่วมเจรจาธุรกิจจากทั่วภูมิภาคกว่าหมื่นราย นายเจาหยุน หวัง ประธานบริหาร บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป และตัวแทนสมาคมอาเซียน แปซิฟิก เวนดิ้ง กล่าวว่า ประเทศไทย ถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนที่อุตสาหกรรมค้าปลีกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการท่องเที่ยวผลักดันอุตสาหกรรมค้าปลีกให้เกิดการพัฒนาและขยายตัว ดังจะเห็นในทุกหัวเมืองท่องเที่ยวของไทยมีการลงทุนเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้า รวมถึงศูนย์การค้าชุมชนขนาดเล็กและขนาดกลางจำนวนมาก ซึ่งจากการสำรวจปี 2020 มีมากถึง 2,000 แห่ง และจากปัจจัยบวกหลังวิกฤตโควิด-19 การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ส่งผลถึงความมั่นใจให้กลุ่มธุรกิจค้าปลีกขยายการลงทุน อย่างไรก็ตาม แม้เป็นการกลับมาจัดงานอีกครั้งในรอบ 3 ปี หลังจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ยังคงมั่นใจในปีนี้จะได้ผลตอบรับที่ดี คาดว่ามีนักลงทุนกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจากประเทศในภูมิภาคอาเซียนเข้าร่วมชมงานและเจรจาธุรกิจมากกว่า 10,000 ราย

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/prg/3441528#google_vignette

‘ไทย’ หารือทวิภาคีกับเมียนมา

นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้การต้อนรับนาย U Chan Aye ผู้แทนของเมียนมาที่เดินทางมาเยือนที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 ก.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ในทุกด้าน โดยทั้งสองประเทศได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการหารืออย่างสม่ำเสมอในทุกระดับ เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ ในขณะที่ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองประเทศพึงพอใจกับการเติบโตของการค้าทวิภาคีและหารือถึงแนวทางที่จะส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ อาทิเช่น การชำระเงินโดยตรงระหว่างสกุลเงินบาท-จั๊ต และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น

ที่มา : https://www.nationthailand.com/thailand/general/40029671

ส่งออก มิ.ย. ติดลบ 6.4% ยันไม่ต้องห่วง เหตุฐานสูง

นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน มิ.ย. 2566 มีมูลค่า 24,826.0 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 6.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานปีก่อนสูง แต่หากพิจารณาจากมูลค่าการส่งออก 6 เดือนแล้ว พบว่า มูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัว 2.9% เหตุจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงซบเซาจากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้การผลิตและการบริโภคยังคงตึงตัว ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของตลาดจีนค่อนข้างช้ากว่าที่คาด นอกจากนี้ คู่ค้าส่วนใหญ่ชะลอการสั่งซื้อสินค้าจากผลกระทบของการหดตัวทางด้านอุปสงค์ มีการเร่งระบายสินค้าคงคลังมากขึ้น ส่งผลให้คำสั่งซื้อและการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง แต่ยังคงมีปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่า ช่วยเพิ่มความสามารถ ในการแข่งขันของผู้ส่งออกในระยะนี้ และกระแสความมั่นคงทางอาหารทำให้สินค้าบางรายการยังขยายตัวดี เช่น ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ผักกระป๋อง และผักแปรรูป ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ไข่ไก่ ซาร์ดีนกระป๋อง น้ำตาลทราย ทั้งนี้ ทำให้การส่งออกครึ่งแรกปี 2566 มีมูลค่า 141,170.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 5.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้าเดือน มิ.ย. มีมูลค่า 24,826 ล้านเหรียญสหรัฐ หัดตัว 10.3%  ทำให้ดุลการค้าของไทยเกินดุล 57.7%

ที่มา : https://www.posttoday.com/business/697604