ตลาดถั่วมัณฑะเลย์ เริ่มกลับมาคึกคัก หลัง เทศกาล “ตินจาน”

ตลาดค้าถั่วมัณฑะเลย์เริ่มกลับมาซื้อ-ขายกันคึกคักอีกครั้งหลัง เทศกาลตินจาน (สงกรานต์เมียนมา) พบว่าส่วนใหญ่มีการส่งออกไปยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งนาย U Soe Win Myint เจ้าของคลังสินค้าในเมืองมัณฑะเลย์ เผยว่า ถั่วดำ ถั่วแระ ข้าวโพด งา ถั่วลิสง ถั่วแดง เนยถั่ว และถั่วลันเตานั้นเริ่มกลับมาขายดีกันมากขึ้น โดยปัจจุบันมีการส่งออกถั่วดำและถั่วแระไปยังอินเดีย ส่วนถั่วเขียว งา ถั่วลิสง ถั่ว heirloom ถั่วแป๋ และเนยถั่ว ถูกส่งไปยังจีน ส่วนข้าวโพดส่วนใหญ่ส่งไปยังไทย ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันพืชสําหรับบริโภค ยังคงทรงตัวเช่น น้ำมันถั่วลิสงและน้ำมันงา 8,000 จัตต่อ viss (1 viss เท่ากับ 1.6 กิโลกรัม) น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันจะอยู่ระหว่าง 5,500-6,000 จัตต่อ viss  และราคาน้ำมันถั่วเหลืองจะอยู่ระหว่าง 6,500-7,000 จัตต่อ viss

ทีมา: https://www.gnlm.com.mm/mandalay-bean-market-bustling-in-post-thingyan-period/#article-title

‘เวียดนาม’ มีโอกาสส่งออกสินค้าเกษตรพุ่ง แม้เผชิญกับภาวะที่ไม่แน่นอน

ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่าเวียดนามยังมีโอกาสอีกมากจากการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังต่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครน ก่อให้เกิดกิจกรรมการค้าทั่วโลกซบเซาลง โดยเฉพาะความตกลงการค้าเสรีที่เวียดนามร่วมลงนามไว้ โดยรองเลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ (HAWA) คุณ Bui Huu Them มองว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้ของเวียดนามไปยังตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังคงเติบโตได้แข็งแกร่ง ปัจจุบันมีสัดส่วน 80% ของมูลค่าการค้าผลิตภัณฑ์ไม้ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน คุณ โด ห่า นาม (Do Ha Nam) รองประธานสมาคมอาหารเวียดนาม กล่าวว่าการที่กลุ่มประเทศตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้เวียดนามสามารถนำเข้าปุ๋ย ข้าวสาลี ฯลฯ ด้วยราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น และนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เวียดนามจะส่งเสริมการส่งออกข้าวและผลผลิตเกษตรไปยังตลาดสหภาพยุโรป ภายใต้ข้อตกลง EVFTA

ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-has-great-opportunities-in-agricultural-exports-despite-global-turbulence-320599.html

 

คาด RCEP FTA กระตุ้นเศรษฐกิจกัมพูชาหลังโควิด-19 คลี่คลาย

ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) รวมถึงข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ (FTA) จะเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจสำคัญในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย RCEP และ CCFTA ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2022 ด้าน Sim Sokheng รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา กล่าวว่า ข้อตกลงข้างต้นจะทำให้กัมพูชาเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น และจะมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีน ให้เข้ามาลงทุนในประเทศกัมพูชามากขึ้น ซึ่งทางรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กัมพูชากล่าวเสริมว่า RCEP จะส่งเสริมภาคการส่งออกให้เติบโตที่ร้อยละ 9.4 โดยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตจากร้อยละ 2 สู่ร้อยละ 3.8 ในปีนี้ สำหรับ CCFTA คาดว่าจะส่งเสริมให้การส่งออกของกัมพูชาไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นน้อยละ 25 ในอนาคต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501062382/rcep-cambodia-china-fta-catalysts-for-economic-growth-in-post-pandemic/

โครงการลงทุนนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มขึ้นกว่า 236% ภายใน 2 เดือน

โครงการลงทุนใหม่กว่า 35 โครงการ ได้รับการอนุมัติจากสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 14 โครงการจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเงินทุนทั้งหมดเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 236 สู่มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ ตามรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจและสังคมของกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังกัมพูชา ซึ่งโครงการลงทุนที่ได้รับใบอนุญาตคาดว่าจะสร้างงานใหม่ให้กับคนในท้องถิ่นได้ประมาณ 31,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2021 ด้าน Lim Heng รองประธานหอการค้ากัมพูชากล่าวว่ากฎหมายการลงทุนฉบับใหม่และอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่สูง เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนใหม่มายังกัมพูชา โดยกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชากล่าวว่าจนถึงขณะนี้ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นโดสแรกให้กับประชาชนแล้วกว่า 14.87 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 92.97 ของประชากรทั้งหมด 16 ล้านคน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501062415/non-sez-investment-projects-up-236-percent-in-value-within-two-months/

ผู้ประกอบการหนุนรัฐ ปรับขึ้น‘ดีเซล’แบบขั้นบันได

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย แสดงความเห็นต่อทิศทางราคาน้ำมันว่า การใช้เงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลยังเป็นแนวทางที่รัฐต้องพิจารณา แม้ว่าจะมีแผนค่อยๆ ทยอยลดภาระด้วยการปรับขึ้นแบบขั้นบันไดก็ตามเพราะหากปรับขึ้นทันทีจะกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนทันที ดังนั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่เป็นแพ็กเกจไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบ “คิดไปทำไป” ควรทำให้ครอบคลุมทั้งปี ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวทางอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงจะลดการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 50% จากราคาอุดหนุนปัจจุบันเฉลี่ย 11 บาทต่อลิตร วันที่ 1 พ.ค.2565 นี้ แต่กระทรวงพลังงานจะปรับขึ้นแบบขั้นบันได 1-3 บาทต่อลิตร เพื่อลดผลกระทบเช่นเดียวกับ LPG ที่จะขึ้นอีกพ.ค.กิโลกรัมละ 1 บาท (15 บาทต่อถัง 15 กก.) เหล่านี้ล้วนกดดันต่อระดับราคาสินค้าและแรงซื้อของประชาชน

ที่มา: https://www.naewna.com/business/649398

‘เวียดนาม’ เล็งขึ้นแท่นเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในอาเซียน ปี 2568

เวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2568 ในขณะที่ตลาดอีคอมเมิร์ซจะดึงดูดกิจการขนาดใหญ่ได้มากยิ่งขึ้น ทางด้านคุณ Do Huu Hung ผู้อำนวยการของบริษัท Accesstrade มองว่าอีคอมเมิร์ซควรเป็นก้าวแรกของการเดินทางออนไลน์ ตามมาด้วยบริการด้านโลจิสติกส์ เพื่อสร้างความมั่นในให้กับผู้บริโภคและปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้ง หากบริการด้านโลจิสติกส์ดีขึ้นแล้ว จะช่วยให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีมูลค่า 50-60% ของเศรษฐกิจเวียดนามในอนาคตข้างหน้า ทั้งนี้ ตามรายงาน “e-Commerce White Book 2020” เปิดเผยว่ารายได้ทั่วโลกจากอีคอมเมิร์ซแบบ B2C มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าในช่วงปี 2562-2566 จากระดับ 1.94 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นมาอยู่ที่ 2.88 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาซียน รวมถึงเวียดนามที่คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-to-become-second-largest-digital-economy-in-southeast-asia-in-2025-experts/225333.vnp

โบรกเกอร์ประเมิน ”เศรษฐกิจไทย” ซึมยาวถึงปี’70 การลงทุนหดตัว อสังหา อ่วมต้นทุนพุ่ง 10-15%

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) กล่าวว่า จาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกแถลงการณ์ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยเป็นตัวเลขสรุปล่าสุดในไตรมาสที่ 1/2565 โดย IMF คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 8 คือจะเติบโตเพียง 3.3% โดยจากข้อมูลสรุปได้ว่า  ประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวต่ำกว่าไทย มีอัตราการเติบโตสูงกว่าไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซียและกัมพูชา ยิ่งกว่านั้นประเทศที่ร่ำรวยกว่าไทย เช่น บรูไน มาเลเซียและสิงคโปร์ ก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าไทยเช่นกัน การนี้แสดงว่าประเทศไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจเท่าที่ควร การที่เศรษฐกิจไทยยังไม่มีวี่แววที่จะ “รุ่งเรือง” แบบก้าวกระโดด เช่น กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย อาจทำให้ประเทศเหล่านี้แซงไทยไปได้ในด้านรายได้ประชาชาติต่อหัวในอนาคต และยิ่งทำให้การลงทุนจากต่างประเทศถูกแย่งชิงโดยประเทศอื่นมากขึ้น การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ก็คงไม่เติบโตอย่างมาก ยกเว้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ส่วนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม ก็คงไม่ได้เติบโตในอัตราสูงเช่นเดิม

ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/news_3299964

‘เวียดนาม’ เผยนโยบายการคลัง คุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย

นาย Võ Thành Hưng รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเวียดนาม เปิดเผยว่าได้ดำเนินนโยบายการคลัง เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย (4%) ที่สภาแห่งชาติกำหนดไว้ ท่ามกลางราคาสินค้าในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อตลาดในประเทศ ทั้งราคาอาหารและวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อของเวียดนาม เฉลี่ย 1.92% ในไตรมาสแรกของปีนี้ นโยบายการคลังจึงต้องลดภาษีและค่าธรรมเนียม เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจให้ควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ นอกจากนี้  ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามจะยังต่ำกว่า 4% และเสริมว่ารัฐบาลมีความสามารถที่จะควบคุมราคาสินค้าให้มีความยืดหยุ่น เช่น การลดภาษีการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสำหรับเชื้อเพลิง

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1174694/fiscal-policies-work-to-keep-inflation-under-control.html

 

เมียนมาส่งออก “หมาก” ไปอินเดีย ลดฮวบ

ผู้ค้าหมากชาวเมียนมา เผย การส่งออกหมากของเมียนมาไปยังอินเดียลดลงอย่างมากในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหมากจะถูกส่งออกผ่านเขตย่างกุ้ง พะโค และมัณฑะเลย์ไปยังอินเดีย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการค้าชายแดนระหว่างเมียนมาและอินเดียลดลงอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและผลกระทบของโควิด-19 โดยในปีก่อนสามารถส่งออกได้ประมาณ 400-500 ถุง แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 300 ถุง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวเพิ่มส่งผลให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นจาก 3,600 จัต เป็น 4,500 จัตต่อถุง ปัจจุบันราคาหมากโดยทั่วไปอยู่ที่ 4,300-4,900 จัตต่อ viss (viss เท่ากับ 1.6 กิโลกรัม) ลดลงเมื่อเทียบกับราคาของปีก่อนที่สูงถึง 5,000-6,000 จัตต่อ viss ขณะเดียวกัน การนำเข้าหมากจากไทยเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ราคาลดต่ำลง

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/myanmar-areca-nuts-exports-to-india-plummet/

หลวงพระบางพบนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 74%

นับตั้งแต่การรถไฟลาว-จีนเริ่มเปิดดำเนินการ ผู้คนในสปป.ลาวได้เดินทางไปทั่วประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังหลวงพระบาง โดยมีผู้มาเยือนภายในประเทศมากกว่า 67,000 ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 74 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว หลวงพระบางอยู่ในรายชื่อโซนท่องเที่ยวสีเขียวที่รัฐบาลกำหนดให้เดินทาง นับตั้งแต่ประเทศเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้งในเดือนมกราคม ภายหลังการปิดพรมแดนระหว่างการระบาดของโควิด ผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวและปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยในโรงแรม เกสต์เฮาส์ และร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นภายใต้โครงการลาว Thaio Laos ซึ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ไม่เพียงแค่หลวงพระบางแต่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่ง คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมากในขณะนี้ ซึ่งได้ยกเลิกข้อจำกัดการเดินทาง ในขณะที่บริการของพนักงานต้อนรับก็ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Luang76.php