ไทยแฉ‘อินเดีย’ตั้งกำแพง กีดกันนำเข้าแอร์/ร้อง‘WTO’ช่วย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรมเปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ประเทศอินเดียกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทำความเย็น ออกกฎระเบียบการนำเข้าเคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี และระงับการตรวจประเมินโรงงานผลิตสินค้าในต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ รวมทั้งเคมีภัณฑ์ของไทย จึงได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หยิบยกประเด็นดังกล่าวเข้าในการประชุม Committee on TBT เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยต่อไป จากกรณีดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกซึ่งต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากการที่ต้องจ้างโรงงานในประเทศอินเดียบรรจุสารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศ ในขณะที่การผลิตในอินเดียสามารถบรรจุสารทำความเย็นและจำหน่ายได้ทันที

ที่มา: https://www.naewna.com/business/629075

นายกฯชื่นชมทุกหน่วยงานผลักดัน FTA ส่งผลให้มูลค่าส่งออกกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA เดือนมกราคม – ตุลาคม 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.67 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออกถึง 63,104 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วนการใช้สิทธิ สูงถึงร้อยละ 78.51 นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงาน และขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมกันส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และเชื่อมั่นว่าจะส่งผลสำคัญต่อความสำเร็จในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ตลาดที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ FTA สูงสุด อันดับ 1 อาเซียน (มูลค่า 21,539 ล้านเหรียญสหรัฐ)  นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) และนอร์เวย์ ช่วง 10 เดือนแรก มูลค่ารวม 3,151 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยไทยสามารถส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.11 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ  2,808 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และตลาดมีสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ที่ร้อยละ 67.47

ที่มา : https://www.js100.com/en/site/news/view/113721

ผลสำรวจชี้ ‘คนเวียดนาม’ 76% เล็งท่องเที่ยวในประเทศ ปี 65

วีซ่า (Visa) ผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก รายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภค (Voice of the Consumer) พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 76% วางแผนที่จะเดินทางเพื่อพักผ่อนในประเทศ และ 38% เดินทางไปต่างประเทศ โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเดินทาง สุขภาพและความปลอดภัย กลุ่มตัวอย่าง 63% คำนึงว่าจุดหมายปลายทางรับมือกับโควิด-19 ได้ รองลงมา 48% การฉีดวัคซีน และ 40% จำนวนผู้ป่วยทั่วโลกลดลง ตามลำดับ ทั้งนี้ จุดหมายปลายทางในประเทศของคนเวียดนามส่วนใหญ่จะพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดระยะสั้น ผู้ประกอบการควรใช้ประโยชน์จากแนวโน้มดังกล่าว ด้วยการรับรองในเรื่องของความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ตลอดจนระบบการชำระเงินดิจิทัลในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโรค นอกจากนี้ นับตั้งแต่การแพร่ระบาด นักท่องเที่ยวชาวเวียดนามต้องยกเลิกแผนการเดินทางและหาทางเลือกอื่นสำหรับการท่องเที่ยว จากข้อมูลพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 53% ดูวิดีโอการเดินทางผ่าน Youtube รองลงมา 40% ใช้เว็บไซต์ท่องเที่ยวบนโซเชียลมีเดีย และ 38% ทัวร์เสมือนจริงทางออนไลน์

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/76-percent-of-vietnamese-plan-domestic-travel-in-2022/220628.vnp

 

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาด GDP ‘เวียดนาม’ ปี 65 โต 6.7%

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดและเติบโตได้ราว (GDP) 6.7% ปี 2565 และในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นเป็น 7% เนื่องจากเห็นสัญญาแนวโน้มระยะกลางเชิงบวก โดยเศรษฐกิจเวียดนามจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565 ในขณะที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลกดีขึ้น ทั้งนี้ เงินเฟ้อจะกลายเป็นความกังวลมากขึ้นต่อเวียดนามในปีนี้ ปัจจัยทางฝั่งอุปทาน (ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในระยะกลาง และแรงกดดันด้านอุปสงค์จะสร้างผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้ ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4% ในปี 2565 เพื่อรองรับกับการขยายตัวของสินเชื่อและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1114426/standard-chartered-forecasts-viet-nam-2022-gdp-growth-at-67-per-cent.html

 

MEODA เริ่มทยอยขายน้ำมันปาล์มให้ร้านค้าปลีก

กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสมาคมผู้ค้าน้ำมันพืชแห่งเมียนมา (MEODA) จะเริ่มทยอยขายน้ำมันปาล์มในราคาถูกให้กับผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ผู้ประกอบการรถโมบายขายสินค้าและสมาคมต่างๆ ในภูมิภาคและรัฐต่างๆ โดยผู้มีสิทธิซื้อน้ำมันปาล์มต้องปฏิบัติตามกฎที่กำหนดเพื่อชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันพืช ถ้าไม่ชำระเงินตามระยะเวลาที่กำหนดจะไม่สามารถซื้อน้ำมันผ่านสมาคมฯ ได้อีก ปัจจุบัน ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4,800 จัตต่อ viss (viss เท่ากับ 1.6 กิโลกรัม) การบริโภคน้ำมันพืชภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี การผลิตน้ำมันเพื่อประกอบอาหารมีประมาณ 400,000 ตัน เพื่อความเพียงต่อการบริโภคภายในประเทศ เมียนมาต้องนำเข้าน้ำมันปรุงอาหารจากมาเลเซียและอินโดนีเซียประมาณ 700,000 ตันต่อปี

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/meoda-to-sequentially-sell-palm-oil-to-retailers/

 

รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะลดการขาดดุลงบประมาณ

รัฐบาลสปป.ลาวได้ประกาศว่าจะพยายามลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือเพียง 3,098 พันล้านกีบในปี 2565 ซึ่งเท่ากับ 1.61 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) คำมั่นสัญญาดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลพยายามย่างมากในการลดภาระหนี้สาธารณะในช่วงเวลาที่ประสบปัญหาในการหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน เพื่อเพิ่มรายได้ประชาชาติ รัฐบาลจะปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้ทันสมัย ​​และพิจารณาเกณฑ์ในการเก็บภาษีที่จ่ายสำหรับเชื้อเพลิงนำเข้า อุปกรณ์ก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้านำเข้าอื่นๆ ตลอดจนภาษีและค่าธรรมเนียมที่มาจากการทำเหมืองและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะแก้ไขค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับที่ดินและจำนวนภาษีเงินได้จากการโอนสิทธิการถือครองที่ดินตามมูลค่าที่ดินที่คาดการณ์ไว้ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ ในส่วนของรายจ่าย รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับโครงการที่มีลำดับความสำคัญสูง และคำนึงถึงความประหยัดและประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงิน รัฐบาลจะลดการใช้จ่ายในกิจกรรมบางอย่าง เช่น การเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดและต่างประเทศ การประชุม สัมมนา และกิจกรรมทางสังคม รัฐบาลได้ให้คำมั่นว่าจะลดการขาดดุลงบประมาณลงต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเงินรอบด้าน และลดภาระหนี้ของประเทศในอนาคตอันใกล้

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt09.php

กัมพูชาอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 9 โครงการ ด้วยเงินทุนกว่า 43 ล้านดอลลาร์

สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ได้ประกาศโครงการลงทุนใหม่ 9 โครงการ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว ด้วยเงินทุนมากกว่า 43 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นได้มากกว่า 10,000 คน ตามการรายงานของ CDC โดยทาง CDC ได้ออกใบรับรองให้กับโครงการลงทุนของบริษัทดังต่อไปนี้ 1.COMO APPAREL CO., LTD. ด้วยเงินลงทุนประมาณ 14.7 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 2,947 ตำแหน่ง 2.LEONA (CAMBODIA) CO., LTD. ด้วยเงินลงทุน 5.8 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 1,530 ตำแหน่ง 3.SINCERE SEASON (CAMBODIA) GARMENT CO., LTD. ด้วยเงินลงทุน 5.6 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 720 ตำแหน่ง 4.POWERFUL RICHES GARMENT (CAMBODIA) CO., LTD. ด้วยเงินลงทุนประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 743 ตำแหน่ง 5.GREEN BAG (CAMBODIA) CO., LTD. ด้วยเงินลงทุน มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 1,544 ตำแหน่ง 6.GLOBAL SUPPLY REDWOOD CO., LTD. ด้วยเงินลงทุนประมาณ 3 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ่งงาน 758 ตำแหน่ง 7.INKYUNG WONDANG APPAREL CO., LTD. ด้วยเงินลงทุนประมาณ 3 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 617 ตำแหน่ง และตามคำร้องขอลงทุนของบริษัทอีก 2 แห่ง ซึ่งทำการขอจัดตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) กัมพูชา ด้วยเงินลงทุนรวม 1.18 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงานราว 190 ตำแหน่ง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501006166/cambodia-approves-nine-new-investment-projects-with-a-capital-of-more-than-43-million/

ธนาคารโลกคาดการณ์ปีนี้เศรษฐกิจกัมพูชาโต 4.5%

ธนาคารโลกคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในปีนี้จะโตถึงร้อยละ 4.5 และคาดว่าจะเติบโตถึงร้อยละ 5.5 ในปี 2023 ซึ่งในปัจจุบันยังคงต้องคอยติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ Omicron ที่จะส่งผลต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ รวมถึงผลกระทบต่อภาคการเงิน โดยเฉพาะในด้านของการชำระหนี้สินที่มีความเปราะบางอยู่ในปัจจุบัน สอดคล้องกับรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ที่ได้รายงานถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.5 ในปี 2022 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของคู่ค้า รวมถึงกิจกรรมหลักที่ช่วยกระตุ้นความต้องการส่งออกของกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501006196/world-bank-forecasts-cambodias-economic-growth-to-reach-4-5-percent-in-2022-and-5-5-percent-in-2023/

เวียดนามส่งออก ‘ยาง’ อันดับ 3 ของโลก

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (MARD) ระบุว่าในปี 64 เวียดนามส่งออกยาง 3.24 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 36.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และส่งออกไปยังตลาดกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ สมาคมยางเวียดนาม (VRA) รายงานว่าภาคอุตสาหกรรมนี้ มีส่วนสำคัญในการผลักดันการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรของประเทศ โดยสินค้าสำคัญ เช่น ธุงมือและปะเก็นยาง ถือเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับอุตสาหกรรม นอกจากนี้ สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ คาดการ์ว่าอุปสงค์ทั่วโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการคลายล็อกข้อจำกัดการเดินทางและการกลับมาเปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ กลับมาฟื้น

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-ranks-third-worldwide-in-terms-of-rubber-export-value-post917823.vov

‘สนง.สถิติแห่งชาติเวียดนาม’ เผยข้อมูลสำมะโน ชี้จำนวนสถานประกอบการ 683,600 แห่ง

สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยผลเบื้องต้นของการสำรวจสำมะโน พบว่าข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค.64 เวียดนามมีสถานประกอบการจำนวน 683,600 แห่ง เพิ่มขึ้น 35.3% เมื่อเทียบกับปี 59 โดยในปี 64 การจ้างงานของสถานประกอบการ มีจำนวนมากกว่า 14.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับปี 59 ทั้งนี้ ในช่วงปี 59-63 จำนวนสถานประกอบการเพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี และยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 8.7% ตั้งแต่ปี 54-59 นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 ม.ค. กระทรวงวางแผนและการลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจสำมะโน ปี 64 พบว่าข้อมูล ณ ปี 63 หน่วยงานราชการมีจำนวน 32,300 แห่ง ลดลง 7.25% เมื่อเทียบกับปี 59

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-has-683600-operational-firms-economic-census/220572.vnp