ยอดขายจักรยานยนต์ของเวียดนามปี 62 หดตัว

จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถจักรยานยนต์เวียดนาม (VAMM) เปิดเผยว่าสมาชิกของสมาคม ได้แก่ Honda, Piaggo Suzuki, SYM และ Yamaha มียอดการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เวียดนามในปี 2562 อยู่ที่ 3.25 ล้านคัน ลดลงร้อยละ 3.87 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยบริษัท Honda ถือเป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81 ของส่วนแบ่งการตลาดรถจักรยานยนต์เวียดนามและมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทอื่นๆที่เป็นแบรนด์ยานยนต์สัญชาติเวียดนาม ซึ่งทำการตลาดรถจักรยานยนต์เวียดนาม ได้แก่ VinFast และ Pega รวมไปถึงแบรนด์ต่างชาติ ได้แก่ Kymco, Ducati, Kawasaki, BMW, KTM, Benelli, Harley Davidson, Triumph, Royal Enfield และ Motorrad นอกจากนี้ รายได้ของคนเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น จะหันไปซื้อรถยนต์มากขึ้น โดยในปีที่แล้ว มียอดจำหน่ายรถยนต์กว่า 400,000 คัน นับว่าเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/motorbike-sales-in-vietnam-shrink-in-2019/167316.vnp

ธนาคารโลก ชี้การเติบโตของเมียนมาจะดีขึ้นในปีนี้

การเติบโตคาดว่าพิ่มขึ้น 6.4% ในปีงบประมาณ 62-63 จาก 6.3% ในปี 61-62 และ 6.2% ในปี 60-61 เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและการลงทุนภาคเอกชนด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการสื่อสาร จากรายงานของธนาคารโลก การเติบโตได้รับการสนับสนุนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่สูงขึ้นในด้านการขนส่งและการสื่อสาร  การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีมากขึ้นในการก่อสร้างคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโต ภาคธนาคารได้รับประโยชน์จากการก่อสร้าง การผลิต และการซื้อขายที่สูงขึ้นผ่านการกู้ยืมกับธนาคารต่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและบริการเช่นเดียวกับการค้าส่งและค้าปลีก ภาคเกษตรควรได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์การส่งออกที่สูงขึ้นและการขาดดุลการค้าที่ลดลง ในขณะเดียวกันแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะรุนแรงมากขึ้นในปีนี้เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นและการขาดแคลนพลังงานอย่างต่อเนื่อง ยังคงมีความเสี่ยงรวมถึงการเติบโตของโลกที่ชะลอตัวจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงวิกฤตในยะไข่ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศ

ที่มา:https://www.mmtimes.com/news/world-bank-says-growth-myanmar-improve-year.html

จีน-เมียนมาลงทุนโครงการพลังงานที่เจาะพยู

บริษัท Kyaukphyu Electric Power ลงทุน 172 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าในเจาะพยู รัฐยะไข่ จากรายงานของคณะกรรมการลงทุนของเมียนมา (MIC) The Kyaukphyu Electric Power Co ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง Supreme Group ของเมียนมาและ บริษัท Power China Enterprise จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้ทั้งหมด 135 เมกะวัตต์ บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกระทรวงไฟฟ้าและพลังงานในพ.ย. 62 เนื่องจากความต้องการเพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ต่อปี จึงประกาศสำหรับโครงการระยะยาวสี่โครงการในม.ค. 61 ซึ่งรวมถึงโครงการในเจาะพยู คาดใช้เวลาอย่างน้อยสามปีจึงจะแล้วเสร็จ ในระยะสั้นโครงการพลังงานเจ็ดแห่งที่มีกำลังการผลิตรวม 1,166 เมกะวัตต์กำลังดำเนินการอยู่ โครงการอื่น ๆ จะดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานของประเทศที่ 1,000 เมกะวัตต์ในปี 2564

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/china-myanmar-invest-power-project-kyaukphyu.html

สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาวเสริมสร้างความสัมพันธ์สภาธุรกิจจีน – อาเซียน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (LNCCI) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับสภาธุรกิจจีน – อาเซียน (CABC) ในการบันทึกความเข้าใจนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างทั้ง2ฝ่ายทั้งด้านการลงทุน การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและความร่วมมือเพื่อประโยชน์ในอนาคตปัจจุบันนักลงทุนจีนกำลังให้ความสนใจกับภูมิภาคอาเซียนรวมถึงสปป.ลาว โดยจีนเป็นกลุ่มนักลงทุนหลักของสปป.ลาว ธุรกิจที่ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากในสปป.ลาว ได้แก่ ไฟฟ้าพลังน้ำ การเกษตร การก่อสร้างการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ การลงทุนไม่เพียงแค่เข้าสู่ตลาดสปป.ลาว แต่ยังรวมถึงตลาดอาเซียนซึ่งมีมากกว่า 600 ล้านคน ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นผลดีแก่สปป.ลาวที่จะเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดรวมถึงพัฒนาการด้านเศรษฐกิจที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-national-chamber-commerce-and-industry-strengthens-ties-china-asean-business-council

สปป.ลาวคาดส่งออกไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 20,000 MW ภายในปี 2573

ไฟฟ้าถือเป็นรายได้ที่สำคัญสำหรับสปป.ลาว โดยในเดือนม.ค.-ต.ค. 62 มีมูลค่าการส่งออกไฟฟ้าประมาณ 1พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดที่สำคัญของสปป.ลาวคือประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน โดยมีการคาดการว่าสปป.ลาวจะส่งออกไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 20,000 MW ระหว่างปี 63-72 ปัจจุบันนอกจากความต้องการจากต่างประเทศมีมากแล้ว ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสปป.ลาวพิ่มขึ้นเนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและจำนวนโรงงานในปี 62 โดยการบริโภคภายในประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1,800 เมกะวัตต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากปริมาณความต้องการที่สูงขึ้นในพลังงานไฟฟ้า ทำให้รัฐบาลสปป.ลาววางแผนที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นและรองรับการเกิดโรงงานต่างๆในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะเพิ่มปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอีก เป็นผลให้ในปัจจุบันมีการเกิดขึ้นของโรงงานพลังงานไฟฟ้าจากทั้งภาครัฐและเอกชนจากทั้งในและนอกประเทศ ส่งเสริมทั้งการลงทุนและเกิดการจ้างงานที่มากขึ้นเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

ที่มา :http://annx.asianews.network/content/laos-export-20000-mw-electricity-2030-112058

กัมพูชาเพิ่มการลงทุนในโครงการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน

การลงทุนเกี่ยวกับการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานในประเทศกัมพูชาได้รับการส่งเสริมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการขยะในเมืองช่วยให้ประเทศสะอาดและสร้างพลังงานสำหรับกริดแห่งชาติได้ โดยมีการหารือระหว่างกระทรวงโดยส่วนใหญ่นำโดยกระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงสิ่งแวดล้อม โดยมีการหารือนโยบายกับผู้เข้าร่วมซึ่งรวมถึงหัวหน้ากระทรวงระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจและการเงินกระทรวงสิ่งแวดล้อมและศาลาว่าการกรุงพนมเปญ จากรายงานของกระทรวงสิ่งแวดล้อมพบว่ามีการรวบรวมและส่งขยะมูลฝอยกว่า 1.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งขยะมูลฝอยคิดเป็น 51% ของขยะทั้งหมดในปี 2561 โดยนโยบายการจัดการขยะในเมืองมีระยะเวลาตั้งแต่ 2562-2571 เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ระบุไว้คือควรมีการลงทุนเพื่อเปลี่ยนพลังงานจากขยะในเมืองซึ่งเป็นการพัฒนาใหม่สำหรับประเทศกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุนในการแปลงขยะเป็นพลังงานในการอภิปรายระหว่างบริษัทเชิงพาณิชย์กับกระทรวงและสถาบันของรัฐบาล โดยอัตราค่าไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอยู่ที่ประมาณ 0.14 – 0.15 เหรียญสหรัฐ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงที่ขายให้กับ EDC

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50679839/investment-on-waste-to-energy-boosted

กำหนดการจัดฟอรัมธุรกิจไทยในกัมพูชา

การรวมตัวกันของผู้นำธุรกิจที่พยายามกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาจะจัดขึ้นในกรุงพนมเปญ โดยฟอรัมไทยธุรกิจกัมพูชา 2020 จะจัดขึ้นในวันที่ 16 มกราคมที่โรงแรม Rosewood ตามประกาศอย่างเป็นทางการของสมาคมธุรกิจกัมพูชาและแฟรนไชส์ ​​(CamBFA) ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงาน โดย CamBFA ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้วเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรซึ่งพยายามที่จะส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการเป็นผู้ประกอบการผ่านแฟรนไชส์และการจับคู่แฟรนไชส์กับแฟรนไชส์ กลุ่มมีสมาชิกมากกว่า 80 ราย โดยในงานสัมมนาจะนำเสนอเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจในประเทศกัมพูชาและประเทศไทย คาดว่าจะมีตัวแทนจากนักธุรกิจไทยและกัมพูชาเข้าร่วม ซึ่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ WS Asia Pacific กล่าวว่าการรวมตัวกันนั้นดีสำหรับทั้งสองประเทศโดยจะเป็นการเชื่อมโยงผู้ประกอบการ SMEs บริษัท ใหญ่และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆในภาคการค้า สภาธุรกิจไทยแห่งกัมพูชารายงานว่าการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศมีมูลค่าสูงถึง 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ทั้งสองประเทศมีเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปี 2563

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50679838/thailand-cambodia-business-forum-slated

B คาดปี 63 พลิกมีกำไรสุทธิ จากวางเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 20% พร้อมรุกโลจิสติกส์ CLMV กลุ่มอีคอมเมิร์ช

“บี จิสติกส์” ลั่นผลงานปี 63 เทิร์นอะราวด์ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เหตุเทรนด์ธุรกิจโลจิสติกส์มาแรงและเติบโตสูง วางยุทธศาสตร์เจาะกลุ่ม CLMV พร้อมเพิ่มบริการเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้าง-บริหารจัดการคลังสินค้า โดยประธารบริหารบริษัทบี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแผนการดำเนินงานปี 63 ตั้งเป้าผลในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจง) ประกอบกับบริษัทให้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจภายใน ทั้งนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV  ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง และปัจจุบันธุรกิจโลจิสติกส์ถือเป็นรายได้หลักของบริษัทสัดส่วนกว่า 80% ของรายได้รวม ขณะเดียวกัน ในปี 2563 บริษัทยังได้ขยายขอบข่ายการทำธุรกิจที่ต่อยอดกับธุรกิจหลัก โดยเพิ่มการให้บริการ การเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้างและบริหารจัดการคลังสินค้า ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

ที่มา : นสพ.ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 14 ม.ค. 2563

เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 11.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 62 : กรมศุลกากร

จากรายงานของสำนักงานศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่ายอดเกินดุลการค้าของเวียดนามปี 2562 อยู่ที่ 11.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่เกินดุล 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดของเวียดนาม ได้แก่ สมาร์ทโฟน เสื้อผ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ขณะที่สินค้านำเข้าหลัก คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร ซึ่งการส่งออกในปี 2562 อยู่ที่ 264.189 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ขณะที่ ยอดการนำเข้าอยู่ที่ 253.071 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 ทั้งนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 46.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว จาก 34.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า สำหรับสถานการณ์การค้ากับสหรัฐฯนั้น เวียดนามมีความเสี่ยงที่จะถูกระบุว่าเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Manipulation) เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ในทิศทางที่เป็นบวกอย่างสูงและทางธนาคารกลางทำการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้น เพื่อลดช่องว่างทางการค้าหลังจากสหรัฐฯกำหนดอัตราภาษีสินค้าอเมริกาท่ามการสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20200114/vietnam-2019-trade-surplus-1112-billion-beating-994-billion-forecast-customs/52583.html

สนามบินนานาชาติเตินเซินเญิ้ตให้บริการรองรับผดส. 3.7 ล้านคน ในช่วงเทศกาลเต็ด

จากตัวแทนของสนามบินนานาชาติโฮจิมินห์ซิตีเตินเซินเญิ้ต (Ho Chi Minh City Tan Son Nhat International Airport) เปิดเผยว่ามีจำนวนเที่ยวบินขาเข้าและขาออกประมาณ 965 เที่ยวบิน ในช่วงไฮซีซั่นก่อนที่จะถึงช่วงเทศกาลเต็ด (Tet) ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มกราคม และคาดว่ามีผู้โดยสารมากกว่า 3.7 ล้านคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ตรงกับตรุษจีน โดยเพื่อตอบสนองต่อการท่องเที่ยวที่มากขึ้นในช่วงเทศกาลดังกล่าวนั้น สิ่งอำนวยทางด้านโครงสร้างพื้นฐานจะได้รับการลงทุนพร้อมกัน ซึ่งสายการบินประจำชาติเวียดนามได้ติดตั้งตู้คิออส (Kiosk) มากกว่า 10 แห่งที่อาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อให้บริการที่ดียิ่งขึ้นและลดความแออันตรงหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ประกอบกับมีการเพิ่มพื้นที่สแกนและระบบรักษาความปลอดภัยมากขึ้น รวมไปถึงลานจอดอากาศยานมากกว่า 14 แห่ง

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/tan-son-nhat-airport-to-serve-over-37-million-passengers-during-tet-408789.vov