ไทยพาณิชย์ยืนเป้าส่งออก-2.5%

เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ หรืออีไอซี ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์หลังจากกระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยตัวเลขการส่งออก ก.ย. 62 ที่ยังคงติดลบ 1.4% ว่าหากหักทองคำออก จะติดลบเพิ่ม เป็น -2.8% ส่วนส่งออกรวม 9 เดือนของปีนี้ ติดลบ 3.1% หากหักทองคำออกจะหดตัวเป็น -5% แต่ถือว่าเป็นการหดตัวในอัตราที่ลดลง ผลจากปัจจัยฐานต่ำของการส่งออกรถยนต์ช่วง ก.ย. 61 ที่หดตัว -7.5% ส่งผลให้ส่งออกรถยนต์เดือนก.ย.ปีนี้พลิกกลับมาขยายตัว 5.4% และ ส่งออกทองคำขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เติบโต 110.6% อย่างไรก็ตามยังไม่พบสัญญาณที่ชัดเจนของการฟื้นตัวของภาคส่งออก คาดว่าในไตรมาส 4 นี้ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง แม้ว่าจีนและสหรัฐจะตกลงการค้าได้ในขั้นต้นก็ตาม แต่คาดว่าสงครามการค้ายังมีแนวโน้มยืดเยื้อ เป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี อีไอซีจึงคงประมาณการมูลค่าการส่งออกปีนี้เติบโต -2.5% ได้ประเมินการส่งออกปีหน้าว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มขยายตัวลดลง ประกอบกับความเสี่ยงจากสงครามการค้ายังมีทิศทางยืดเยื้อ ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า จึงเป็นปัจจัยกดดัน คาดว่าการส่งออกจะมีทิศทางทรงตัว ขยายตัวเพียง 0.2% เนื่องจากเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญส่วนมากมีแนวโน้มชะลอตัว จากที่ IMF คาดการณ์ล่าสุดว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะขยายตัวที่ 3.4% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 3% อย่างไรก็ดี การเร่งตัวดังกล่าวได้รับผลจากฐานต่ำของประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางเอเชียกลาง กลุ่มแอฟริกา ซาฮารา ละตินอเมริกาและแคริบเบียนเป็นสำคัญ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนต่อการส่งออกรวมของไทยเพียง 9.5% ขณะที่เศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน สหรัฐ ญี่ปุ่น อาเซียน และ CLMV มีทิศทางขยายตัวใกล้เคียงหรือชะลอลงในปีหน้าเมื่อเทียบกับปีนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 24 ต.ค. 2562 (กรอบบ่าย)

อุตสาหกรรมรถยนต์เวียดนามจำเป็นต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน

จากการประชุมโดยศูนย์บริหารเศรษฐกิจเวียดนาม (Central Institute for Economic Management :CIEM) ณ กรุงฮานอย ในวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา กล่าวถึงประเด็นในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนานโยบายภาษีให้ครอบคลุม และการส่งเสริมทางด้านการเงิน เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ โดยอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์เป็น 1 ใน 6 อุตสาหกรรมหลักของเวียดนาม และจากข้อมูลทางสถิติของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ระบุว่าธุรกิจรถยนต์ในประเทศมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปี่ผ่านมา ด้วยปริมาณรถยนต์ 250,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ในช่วงปี 2558-2559 ในขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันยุทธศาสตร์การเงินและรองประธานสมาอุตสาหกรรม ระบุว่าจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญในการวางแผน เพื่อจะส่งเสริมธุรกิจอย่างถูกต้อง และเสนอให้ยกเว้นภาษีการบริโภคพิเศษ สำหรับสินค้าผลิตในประเทศ รวมไปถึงส่งเสริมสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นแก่ผู้ประกอบการ SMEs

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/domestic-automobile-industry-in-need-of-policies-to-raise-competitiveness-405092.vov

เวียดนามนำเข้าสุกรอย่างมาก เนื่องจากไข้หวัดหมูระบาดหนัก

จากข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในช่วงกลางเดือนตุลาคมของปีนี้ นครโฮจิมินห์นำเข้าเนื้อหมูกว่า 10,820 ตัน คิดเป็นมูลค่า 21.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 155 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งประเทศบราซิล สหรัฐอเมริกาและโปแลนด์ เป็นผู้ส่งออกเนื้อหมูรายใหญ่ แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ได้แก่ กระดูก และคอหมู ไปยังตลาดเวียดนาม ในราคาที่ต่ำกว่าในประเทศ อย่างไรก็ตาม เวียดนามต้องการเนื้อหมูสดมากกว่า ดังนั้น การนำเข้าเนื้อแช่แข็งจึงนิยมใช้สำหรับอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เป็นต้น โดยมีเพียงธุรกิจไม่กี่แห่งที่สามารถนำเข้าเนื้อหมูที่มีคุณภาพในการสต๊อกสินค้าได้ นอกจากนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน ในปีนี้ เวียดนามนำเข้าเนื้อหมู 14,824 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่าราว 220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการสต๊อกเนื้อหมูในประเทศลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ที่มา :  https://english.vov.vn/economy/imported-pork-floods-vietnam-after-swine-flu-cull-405080.vov

MIC อนุมัติการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ 8 แห่งมูลค่าสูงกว่า 270 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่า 150 พันล้านจัต

ในระหว่างการประชุม (ครั้งที่ 19/2562) คณะกรรมาธิการการลงทุนของเมียนมา (MIC) ได้อนุมัติการลงทุนในประเทศและต่างประเทศแปดแห่งมูลค่า 279.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐและสูงกว่า 156 พันล้านจัตสร้างงานในท้องถิ่นได้ถึง 33,279 อัตรา เป็นการลงทุนในที่อยู่อาศัย บริการการศึกษา อุตสาหกรรม และการเกษตร เป้าหมายการลงทุนสำหรับปีงบประมาณ 62-63 จะเกิดขึ้นเนื่องจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานแม้จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า การเลือกตั้งของเราในปีหน้าประชาคมระหว่างประเทศจะรอดูผลการเลือกตั้งและสถานการณ์ของรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นปกติของ บริษัทข้ามชาติที่รอเฝ้าดูสถานการณ์ อย่างไรก็ตามยังชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของ Project Bank ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาล ซึ่งรวมถึงโครงการระดับชาติและโครงการระดับกระทรวง สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานจะเชิญนักลงทุนในปีหน้าโครงการเหล่านั้นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากซางโครงการเหล่านั้นจะมีผลประโยชน์แม้จะมีการเลือกตั้ง เป้าหมายการลงทุนสามารถบรรลุได้หากโครงสร้างพื้นฐาน น้ำมันและก๊าซ และการสื่อสารได้รับการพิจารณา

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/mic-approves-8-local-and-foreign-investments-worth-over-us270m-over-k150bn

เศรษฐกิจเมียนมาขยายตัว 7.1% ในปีนี้

เศรษฐกิจของเมียนมาคาดขยายตัว 6.8% ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 61 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 62 เทียบกับ 6.5 % ในปีที่แล้วตามรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของอาเซียน +3 (AMRO) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจการเติบโตในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและผลิตภัณฑ์การผลิตอื่น ๆ การบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 6.6% สำหรับปีงบประมาณ 61-62 และ 6.8% ในปี 63-64 ส่วน IMF คาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ 6.4% ในปีงบประมาณ 61-62 และถ้าการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น.ในปี 62-63จะเติบโต 6.6 ผลกระทบจากความต้องการที่ลดลงจากจีนเนื่องจากสงครามการค้า แต่ก็ยังได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนเนื่องจากการย้ายฐานการผลิตและหากสามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ แต่โครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ธนาคารกลางของเมียนมา (CBM) ควรปรับอัตราแลกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับกลไกตลาดและดำเนินการสร้างทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อสานต่อความสามารถในการจัดการกับปัจจัยภายนอก ความเสี่ยงต่อการคาดการณ์ส่วนใหญ่มาจากความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ในรัฐยะไข่ ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องการค้าและราคาพลังงาน กล่าวว่าความจำเป็นเร่งด่วนคือแก้ไขปัญหาคอขวดโครงสร้างพื้นฐานและข้อจำกัดด้านทรัพยากรมนุษย์เพื่อเพิ่มการลงทุนภาคเอกชนและเพิ่มศักยภาพการเติบโต  และในขณะที่การเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าจะช่วยลดภาระทางการคลัง แต่จะช่วยเพิ่มอัตราเงินเฟ้อในระยะสั้น อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะสูงถึง 8.8% ในปีงบประมาณ 61-62 และประมาณ 9% ในปีงบประมาณ 62-63 ส่วนหนึ่งเนื่องจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/economy-expand-much-71-year-amro.html  

กลุ่มประเทศ แม่โขง-ล้านช้าง แลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านการจัดการพลเมือง

เจ้าหน้าที่ในการจัดการพลเมืองจากสปป.ลาว, จีน, พม่า, ไทย, เวียดนามและกัมพูชาพบกันที่เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก เพื่อหารือเกี่ยวกับการระบบทะเบียนราษฎรและสถิติสำคัญ (CRVS)  ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากสาธารณรัฐเกาหลีได้พูดคุยเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพเชิงสถิติการรวมและการเปรียบเทียบข้อมูลสถิติการเสียชีวิต สถิติการเสียชีวิตของมารดาและเด็ก สถิติที่ยังไม่เกิดและข้อมูลเกี่ยวกับทารกที่มีอายุน้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์ ผู้เข้าร่วมยังได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของธนาคารโลกเกี่ยวกับมุมมองระดับโลกเกี่ยวกับการลงทะเบียนครอบครัวรวมถึงระบบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการพลเรือนการลงทะเบียนและการระบุตัวพลเมือง ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยได้แบ่งปันแนวทางปฏิบัติในการจัดการทะเบียนราษฎรและรวบรวมสถิติที่สำคัญโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์และสปป.ลาวได้แนะนำกลยุทธ์ในการลงทะเบียนพลเมืองและสถิติสำคัญ  โครงการความร่วมมือได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากประเทศจีนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งดำเนินการตั้งแต่ปี 61-63 การแบ่งปันความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงาน CRVS ก็เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lancang-mekong-countries-share-expertise-citizen-management-106882

การใช้ smart technology ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างสปป.ลาว

ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมในสาขาการก่อสร้างและสถาปัตยกรรมได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการก่อสร้างอัจฉริยะในระหว่างการสัมมนา“Smart Construction – 4th Industrial Revolution and Digital Transformation in the Construction Industry” จัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และบริษัท Heerim Architects and Planners จากเกาหลีใต้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ CSR เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของสปป.ลาว ซึ่งในปัจจุบันอุตสาหกรรมการก่อสร้างในสปป.ลาวส่วนใหญ่ยังคงใช้เทคโนโลยีในท้องถิ่น แต่ smart technology มีข้อได้เปรียบอย่างมากในการช่วยให้บริษัทก่อสร้างสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ช่วยให้สามารถสร้างและออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่รับประกันความปลอดภัยมากขึ้น การทำงานที่รวดเร็วขึ้น มีความแม่นยำ ใช้แรงงานจำนวนน้อยลง

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-construction-industry-eyes-use-smart-technology-106805

ผู้ค้าข้าวในกัมพูชาเริ่มส่งออกข้าวไปยังตลาดจีนมากขึ้น

เจ้าหน้าที่ของจีนตกลงที่จะเร่งการตรวจสอบใบสมัครของ บริษัท ในกัมพูชากว่า 40 แห่ง ที่ต้องการส่งออกข้าวไปยังตลาดจีน โดยสำนักงานควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (AQSIQ) ของประเทศจีน และกระทรวงเกษตรของกัมพูชาพบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับการส่งออกข้าวของกัมพูชาไปยังประเทศจีน ซึ่งประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชากล่าวว่าการส่งมอบข้าวไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงเก้าเดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยจากข้อมูลของ CRF กัมพูชาส่งออกข่าว 157,793 ตันไปยังประเทศจีนตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายนคิดเป็นกว่า 39.6% ของการส่งออกข้าวทั้งหมดของกัมพูชา ซึ่งเมื่อปีที่แล้วไม่สามารถส่งออกข้าวได้ตามโควต้าที่ทางจีนกำหนดโดยส่งออกไปเพียง 170,000 ตันจากจำนวนโควต้าที่ได้รับอนุญาตที่ 300,000 ตัน อย่างไรก็ตามในปีนี้ CRF มั่นใจว่ากัมพูชาจะสามารถส่งออกข้าวได้เต็มจำนวนโควต้าที่ได้รับอนุญาต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50653395/more-local-rice-traders-set-to-export-to-chinese-market/

รัฐบาลกัมพูชาจะซื้อ Cintri เพื่อแก้ไขปัญหาขยะภายในประเทศ

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนประกาศว่ารัฐบาลจะเข้าถือครองและจัดการ Cintri (กัมพูชา) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ทำสัญญาเพื่อรวบรวมและจำกัดขยะในเมืองหลวง โดยมองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงคือมีขยะเป็นจำนวนมากบวกกับปัญหารถติดและที่จอดรถไม่เพียงพอ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังรวมถึงศาลาว่าการพนมเปญทำงานร่วมกับ Cintri ในการเข้าซื้อกิจการเพื่อให้เกิดบริการที่ดีขึ้น  โดยอดีตเมืองนี้มีขยะเพียง 500 ตันต่อวัน แต่ปัจจุบันสูงถึง 3,000 ตันต่อวัน เกิดจากการขยายตัวของเศรษฐกิจของเมืองอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะจัดการระบบในการทำงานใหม่โดยจะมี บริษัทเอกชนรายอื่นเข้ามาร่วมในการดำเนินการเพื่อไม่ให้เป็นการผูกขาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการให้ดีขึ้น โดยในทุกๆวัน กรุงพนมเปญสร้างขยะถึง 2-3 พันตันต่อวันซึ่งเป็นขยะพลาสติกกว่า 600 ตัน โดยรวมแล้วกัมพูชาสร้างขยะมากกว่า 10,000 ตันต่อวันหรือมากกว่า 3.6 ล้านตันต่อปี ซึ่งรวมถึงขยะมูลฝอยทุกประเภทในครัวเรือนและขยะอุตสาหกรรมอื่นๆ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50653397/government-will-buy-cintri-pm/

การลงทุนในอุตสาหกรรมสปป.ลาวซบเซา

อัตราการเติบโตของโรงงานในสปป.ลาวยังคงอยู่ในระดับปานกลาง แม้รัฐบาลจะปรับปรุงนโยบายและกฎระเบียบเพื่อดึงดูดนักลงทุน จำนวนโรงงานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5 ต่อปี สปป.ลาวมีโรงงาน 13,148 แห่งในปี 59 ซึ่งรวมถึงหน่วยงานขนาดใหญ่ ขนาดกลางขนาดเล็กและครัวเรือน ปัญหาหลักในการประเมินในเชิงลึกของแต่ละอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถทำได้คือการรวบรวมข้อมูล อย่างไรก็ตามสถิติที่เก็บรวบรวมพบว่ามีโรงงานขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้โดยประมาณร้อยละ 80 เป็นธุรกิจครัวเรือน ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในการรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นไม่เพียงพอ โรงงานหลายแห่งใช้พลังงานมากและปล่อยมลพิษทางอากาศในอัตราที่สูง โดยมีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของบริษัท 354 แห่ง เป็นกิจการร่วมค้า 2,115 บริษัท และการลงทุนในประเทศ 10,679 บริษัท โรงงานขนาดใหญ่ 714 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 5.43  ขนาดกลาง 784 แห่งหรือร้อยละ 5.96 ขนาดเล็ก 6,707 แห่งหรือร้อยละ 51.01 และเวิร์กช็อปในครัวเรือน 4,943 แห่งคิดเป็น 37.6% ของทั้งหมด โรงงานผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและบริการมากกว่า 80 ประเภทและอีกหลายโรงงานเป็นโรงสีข้าวและโรงงานข้าวโพดหวาน ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมีตั้งแต่คอนกรีตจนถึงเฟอร์นิเจอร์ เพื่อดึงดูดนักลงทุนเพิ่มเติม รัฐบาลควรดำเนินการทบทวนและระบุมาตรการที่สามารถปรับปรุงบรรยากาศการลงทุน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/investment-lao-industry-stagnates-106623