เมียนมาตั้งเป้าส่งออกประมง 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2024-2025

สหพันธ์ประมงเมียนมาและสมาคมผู้แปรรูปและส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงระบุว่า เมียนมาตั้งเป้าที่จะบรรลุมูลค่าการส่งออกจากสินค้าประมง 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2024-2025 (ตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 ถึงเดือนมีนาคม 2025) โดยเมียนมาส่งสินค้าประมงไปยังพันธมิตรการค้าต่างประเทศผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ ทางถนน เรือ และอากาศ เจ้าหน้าที่ของ MFF และ MFPPEA กล่าวว่า มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าประมงจะอยู่ที่ 735 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน โดยการส่งออกสินค้าประมงสะสม ณ เดือนมกราคม มีมูลค่า 521 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนว่ารายได้จะถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสสุดท้ายหรือไม่ อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกอาจต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ช่องทางการค้าหลักในการส่งออกประมง คือ การขนส่งทางเรือ จากนั้นจึงส่งออกทางอากาศ โดยส่วนใหญ่ไปยังจีน นอกจากนี้ การส่งออกที่ชายแดนถือว่ามีมูลค่าไม่สูงมากนัก

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/myanmar-targets-700m-in-fishery-exports-for-fy-2024-2025/#article-title

เมียนมาดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 11 แห่ง

ตามข้อมูลของคณะกรรมการพัฒนาไฟฟ้าและพลังงาน ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด 11 โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาในเมียนมา โดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 1,026 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ มีโครงการก่อสร้าง 4 โครงการในเขตเนปิดอว์ 3 โครงการในเขตมัณฑะเลย์ 1 โครงการในเขตพะโค และ 1 โครงการในรัฐฉาน ซึ่งรวมกำลังการผลิต 530 เมกะวัตต์ โครงการไฮบริด (เครื่องยนต์ก๊าซ + พลังงานแสงอาทิตย์) กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการในเขตมัณฑะเลย์และเขตมะเกว โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 496 เมกะวัตต์ เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าในประเทศเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงเร่งรัดโครงการพลังงานหมุนเวียนเพื่อกระตุ้นการผลิตไฟฟ้า ปัจจุบัน เมียนมามีโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 28 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังความร้อน 27 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 8 แห่ง โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 6,371 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ จากการโจมตีและภัยธรรมชาติส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าลดลงเนื่องจากสายไฟได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการพัฒนาไฟฟ้าและพลังงานมีเป้าหมายที่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและพลังงานเพื่อสนับสนุนการดำรงชีพในชีวิตประจำวันและการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการลงทุนในท้องถิ่นและระหว่างประเทศ

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/myanmar-implements-11-solar-power-plant-projects/

ภาคการท่องเที่ยวของกัมพูชาสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 3.63 พันล้านดอลลาร์

ตามรายงานจากกระทรวงการท่องเที่ยว (MoT) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 มกราคม รายงานว่าภาคการท่องเที่ยวของกัมพูชาสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 3.63 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 จากปีก่อนหน้าที่รายได้ 3.08 พันล้านดอลลาร์ โดยกัมพูชาให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 6.7 ล้านคนในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.9 จากปีก่อนหน้าที่มีนักท่องเที่ยวราว 5.45 ล้านคน ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางมายังกัมพูชามากที่สุดในปี 2024 โดยกัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวไทยจำนวน 2.14 ล้านคนในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 จากปีก่อนหน้า ด้านนักท่องเที่ยวเวียดนามและจีนอยู่ในอันดับที่สองและสามของตลาดการท่องเที่ยวของกัมพูชา โดยมีจำนวน 1.34 ล้านคนและ 8.4 แสนคนตามลำดับ ขณะที่ Hun Dany รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและโฆษกของ MoT กล่าวว่า กลยุทธ์และนโยบายที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลได้ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501633364/cambodias-tourism-sector-breaks-new-ground-earns-3-63-billion/

Donaco ชี้คาสิโนในกัมพูชาถือเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตด้านรายได้ของประเทศ

Donaco International Ltd. บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย รายงานรายได้สุทธิ 6.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า บริษัทได้ระบุว่าการเติบโตของรายได้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งมาจากธุรกิจคาสิโน Star Vegas ในกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองปอยเปต จากข้อมูลที่บริษัทได้ยื่นต่อผู้ถือหุ้น Star Vegas สร้างรายได้สุทธิ 4.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 3.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีก่อนหน้า โดย Property Level EBITDA เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 16.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งบริษัทระบุว่าจำนวนผู้เล่นเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 957 คน เพิ่มขึ้นจาก 861 คนในปีก่อนหน้า สำหรับกัมพูชาได้รับรายได้จากภาษีรวมกว่า 63.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากคาสิโนและผู้ประกอบการเกมเสี่ยงโชคในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 85 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่โดยคณะกรรมการบริหารการพนันเชิงพาณิชย์ของกัมพูชา (CGMC) ตามข้อมูลของ CGMC ประเทศได้อนุมัติใบอนุญาตดำเนินการให้กับคาสิโน 195 แห่ง โดยทางการกัมพูชาอนุมัติใบอนุญาตให้คาสิโนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาสิโนทั้งหมดตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและจังหวัดชายฝั่ง ตามกฎหมายของราชอาณาจักร อนุญาตให้เฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้นที่สามารถเล่นการพนันในคาสิโนได้ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ตามชายแดนที่ติดกับไทยและเวียดนาม

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501633334/cambodia-casino-fuels-donaco-revenue-growth/

IMF ระบุว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะเติบโต 5.8% ในปี 2025

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาจะเติบโตร้อยละ 5.8 ในปี 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากภาคส่วนหลัก เช่น การท่องเที่ยวและการส่งออกเสื้อผ้า รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ตามรายงานเศรษฐกิจของกัมพูชามีการฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้จะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตจากร้อยละ 5.5 ในปี 2024 เป็นร้อยละ 5.8 ในปี 2025 อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.5 ในปี 2024 เป็นร้อยละ 2 ในปี 2025 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่จัดการได้ ในขณะเดียวกัน IMF ยังระบุว่าเศรษฐกิจกัมพูชาอาจมีความเปราะบางเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนโยบายของคู่ค้าหลัก และความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนจากต่างชาติ อย่างไรก็ตาม IMF ได้ให้คำแนะนำหลายประการเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจกัมพูชาดำเนินต่อไปได้ รวมถึงการปฏิรูปนโยบายการคลัง การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีและการยกเว้นภาษี โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย และการเสริมสร้างการจัดการการลงทุนภาครัฐให้เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างความยืดหยุ่น และรักษาเสถียรภาพของหนี้สาธารณะ เป็นต้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501633100/imf-says-cambodias-economy-will-grow-by-5-8-in-2025/

รัฐบาลกัมพูชาพร้อมส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตรสู่ระดับสากล

Keo Buntheng ผู้ช่วยทางการพาณิชย์ประจำสาธารณรัฐตุรกี เข้าพบกับผู้นำเข้าจากต่างประเทศหลายราย เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผลิตภัณฑ์กัมพูชาและสำรวจโอกาสในการขยายตลาดของกัมพูชาไปยังทั่วโลก โดยได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอาหารและเครื่องดื่ม ครั้งที่ 31 ณ ศูนย์แสดงสินค้า Antalya Expo Center ในเมืองอันตัลยา ประเทศตุรกี ระหว่างวันที่ 28 ถึง 31 มกราคม ซึ่งทางการกัมพูชามุ่งเน้นไปที่สินค้ากลุ่มเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ข้าว พริกไทย ผลไม้แห้ง และถั่วต่างๆ ตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ (MoC) งานดังกล่าวดึงดูดผู้จัดแสดงประมาณ 300 ราย จาก 70 จังหวัดทั่วตุรกี และอีก 50 ประเทศ รวมถึงมีผู้เยี่ยมชมทั้งหมดประมาณ 20,000 คน ภายในงาน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501633489/cambodian-official-promotes-agricultural-products-to-intl-importers/

เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ 53 ลำจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือย่างกุ้งในเดือนกุมภาพันธ์

สำนักงานการท่าเรือเมียนมาประกาศว่าเรือขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด 53 ลำมีกำหนดจะเดินทางมาถึงท่าเรือย่างกุ้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยมีเรือขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัท SITC Shipping Line จำนวน 10 ลำ บริษัท Cosco Shipping Line จำนวน 8 ลำ บริษัท Samudera Shipping Line จำนวน 6 ลำ บริษัท Maersk A/S Line จำนวน 5 ลำ บริษัท MSC Line และ CMA CGM Line จำนวน 4 ลำ บริษัท Ti2 Container Line, ONE Line และ RCL Line จำนวน 3 ลำ บริษัท BLPL Shipping Line, Ocean Salute Shipping Line และ Evergreen Line จำนวน 2 ลำ และเรือขนส่งทางบกและทางทะเล 1 ลำ อย่างไรก็ดี สำนักงานการท่าเรือเมียนมาได้จัดเตรียมช่องทางการค้าทางทะเลเพื่อรองรับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ ส่งเสริมการส่งออก และปรับปรุงขีดความสามารถของท่าเรือให้สามารถรองรับเรือที่มาถึงได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสำนักงานการท่าเรือเมียนมาจะแจ้งให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าทราบเกี่ยวกับตารางการมาถึงของเรือโดยเร็วที่สุดเมื่อตารางการมาถึงขยายออกไป เรือขนส่งสินค้า 62 ลำเดินทางมาถึงท่าเรือย่างกุ้งในเดือนมกราคม 2025 นอกจากนี้ ในปี 2023 และ 2024 ท่าเรือย่างกุ้งมีการรองรับเรือขนส่งสินค้าไปแล้ว 629 และ 633 ลำ ตามลำดับ

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/53-container-vessels-to-dock-at-yangon-port-in-feb/

ส่งออกข้าวปี 60 สร้างรายได้ 1.33 พันล้านเหรียญสหรัฐ

สหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) แถลงว่า ในปีที่แล้วเมียนมามีบริษัทส่งออกข้าวและข้าวหักรวม 103 บริษัทไปยัง 49 ประเทศคู่ค้า ปริมาณการส่งออกรวมกว่า 2,767,414 ตัน ซึ่งสร้างรายได้กว่า 1,331.899 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี สหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) ในด้านภาคเอกชนได้ดำเนินการส่งออกข้าวและข้าวหักตามนโยบายและคำสั่งของรัฐบาล และในขณะเดียวกันก็ได้ส่งเสริมให้บริษัทส่งออกรายใหม่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยการแบ่งปันความรู้และจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับคุณภาพ ปริมาณ และกระบวนการของตลาดข้าวระหว่างประเทศ สหพันธ์ข้าวเมียนมาระบุอีกว่า ผู้ส่งออกรายใหม่มีส่วนร่วมในภาคการส่งออกข้าวและข้าวหักด้วยแนวทางที่เป็นระบบ โดยสมาชิกของสหพันธ์ข้าวเมียนมาขยายตัวเป็น 1,196 ราย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 980 ราย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 ปีก่อน ด้วยการเติบโตของสมาชิกและความไว้วางใจและความร่วมมือ MRF จะให้บริการที่ดีขึ้น การแบ่งปันข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และความร่วมมือที่แข็งแกร่งขึ้น MRF ซึ่งรวมถึงกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร และโรงสีข้าว ได้เชิญชวนผู้ส่งออกที่ต้องการร่วมมือในภาคการส่งออกข้าวและข้าวหักในปี 2568 เพื่อเชื่อมโยงตลาด และช่วยเหลือในการดำเนินงานแก่สมาชิก

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/rice-and-broken-rice-export-earns-us1331-899million-in-last-year/

‘ผลสำรวจ’ เผย อพาร์ทเมนท์ในฮานอยกว่า 40% ราคารีเซลสูงเกิน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ

จากรายงานของสถาบันเศรษฐศาสตร์การก่อสร้าง (Institute of Construction Economics) พบว่าเกือบ 40% ของอพาร์ตเมนต์ขายต่อ หรือรีเซลในเมืองฮานอย มีราคาสูงกว่า 5 พันล้านด่อง (ประมาณ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และ 38.5% มีราคาอยู่ที่ราว 3 – 5 พันล้านด่อง ทั้งนี้ ราคาอพาร์ทเมนท์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การซื้ออพาร์ตเมนต์ดังกล่าว เกินกำลังซื้อของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย สาเหตุหลักมาจากการที่โครงการใหม่ ๆ ตั้งราคาเริ่มต้นอย่างน้อย 50 ล้านด่องต่อตารางเมตร ซึ่งหมายความว่าอพาร์ตเมนต์ขนาด 65 ตารางเมตร จะมีราคาอยู่ที่ 3.25 พันล้านด่อง การที่เน้นไปที่กลุ่มตลาดระดับไฮเอนด์ ส่งผลให้ความสมดุลของอุปทานที่อยู่อาศัยเสียไป ในขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เวียดนาม (VARS) ยืนยันถึงแนวโน้มนี้ โดยในปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวอพาร์ตเมนต์ที่มีราคาเกินกว่า 80 ล้านด่องต่อตารางเมตรในเมืองฮานอย

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/data-speaks/40-of-hanoi-resale-apartments-priced-200k-or-more-4842391.html

‘แพลตฟอร์มดิจิทัล’ ผลักดันโอกาสการท่องเที่ยวยุคใหม่ของเวียดนาม

นาย Hồ An Phong รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวเวียดนาม มองว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในปัจจุบัน เป็นกุญแจสำคัญของการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยทางกระทรวงฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล จึงได้ดำเนินการจัดทำกฎหมายและวางกรอบแนวทางการดำเนินงานต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งชาติ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการท่องเที่ยวอัจฉริยะ ซึ่งการดำเนินการแหล่านี้เป็นการวางรากฐานและตำแหน่งการท่องเที่ยวให้เป็นส่วนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ จากตัวเลขสถิติของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2567 พบว่านักท่องเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวมทั้งสิ้นปริมาณ 110 ล้านคน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 17.5 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับประเทศราว 840 ล้านล้านด่อง หรือประมาณ 33.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยตั้งเป้าในปี 2568 ว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 22-23 ล้านคน และนักท่องเที่ยวในประเทศ 120-130 ล้านคน สร้างรายได้ 950-1,050 ล้านล้านด่อง และสร้างแรงงาน 5.5 ล้านตำแหน่ง

ที่มา : https://vietnamnews.vn/society/1691491/opportunities-for-vietnamese-tourism-to-soar-in-the-digital-era.html