FTA อาเซียน-แคนาดา “พาณิชย์” เดินหน้าเจรจาอย่างเป็นทางการ

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-แคนาดา ครั้งที่ 10 โดยที่ประชุมได้ประกาศเดินหน้าเจรจาจัดทำ FTA อาเซียน-แคนาดา พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างอาเซียน-แคนาดา รวมทั้งหารือแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 และพบภาคเอกชนสภาธุรกิจแคนาดา-อาเซียน การประชุมครั้งนี้ ไทยได้ร่วมกับสมาชิกอาเซียนและแคนาดาประกาศเริ่มเจรจา FTA อาเซียน-แคนาดา อย่างเป็นทางการ ซึ่งการเปิดเจรจา FTA ถือเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ โดยการจัดทำ FTA อาเซียน-แคนาดา จะช่วยขยายโอกาสการค้า การลงทุน และสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิตไปยังภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งไทยยังไม่เคยมี FTA มาก่อน รวมทั้งเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการไทยจะส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย. 2564) อาเซียนกับแคนาดามีมูลค่าการค้ารวม 18,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.8 โดยไทยกับแคนาดามีมูลค่าการค้ารวม 2,002 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 ซึ่งคิดเป็นไทยส่งออกไปแคนาดา มูลค่า 1,349 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.7 และไทยนำเข้าจากแคนาดา มูลค่า 653 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8

ที่มา : https://www.thansettakij.com/economy/503633

ลาว ต่อเวลากฎคุมโควิดไม่มีกำหนด หลังป่วยเพิ่มทั่วประเทศ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลลาวประกาศขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง หลังจากจำนวนผู้ป่วยในประเทศยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ลาวจะยังคงปิดทำการพรมแดนและด่านตรวจ ยกเว้นด่านที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 แห่งชาติ ขณะเดียวกันจะงดออกวีซ่านักท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติ ยกเว้นบุคลากรการทูต พนักงานองค์กรระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญ และนักลงทุนที่ต้องการเข้าประเทศเร่งด่วน ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการทั้งหมดที่กำหนดโดยรัฐบาล

ที่มา : https://www.naewna.com/inter/615916

‘อโกด้า’ ชี้ชาวเวียดนามคาดการเดินทางทั่วโลกจะกลับมาอีกครั้งในอีก 6 เดือนข้างหน้า

อโกด้า (Agoda) ผู้ให้บริการดิจิทัลแพล็ตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยผลสำรวจหัวข้อ “ต้อนรับการกลับมาเดินทางอีกครั้ง” พบว่าชาวเวียดนามส่วนใหญ่ 60% คาดว่าการเดินทางจะกลับมาดำเนินการอีกครั้งในอีก 6 เดือนข้างหน้า โดยกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 45-54 ปี ส่วนใหญ่ 52% มองในแง่ดีต่อการปราศจากข้อจำกัดในการเดินทางในเอเชีย แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ เมื่อสอบถามถึงการเดินทางทั่วโลกโดยปราศจากข้อจำกัด พบว่ากลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไปมองในทิศทางที่ดีมากที่สุด (54%) รองลงมาคือกลุ่มอายุ 45-54 ปี (45%)

ทั้งนี้ แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 10 คาดหวังว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าเวียดนามได้ หลังจากผ่านไปเพียง 2 ปี รัฐบาลก็ได้ประกาศว่าจะเริ่มเปิดจุดหมายปลายทางบางแห่งสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือน พ.ย. โดยเริ่มจากฟู้โกว๊ก (Phú Quốc) แต่มีเพียง 27% เท่านั้นที่เชื่อว่าการเปิดพรมแดนเต็มรูปแบบอีกครั้งน่าจะเป็นภายในสิ้นปีนี้

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1080584/vietnamese-expect-global-travel-to-restart-in-next-6-months-agoda.html

‘IHS Markit’ ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามฟื้นตัว

จากข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายปีนี้ของ IHS Markit แสดงให้เห็นถึงโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ต่อวันกลับมาเพิ่มขึ้น รวมถึงการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ต่อวัน เริ่มลดลงในช่วงครึ่งหลังของเดือน ก.ย. และต้นเดือน ต.ค. การผ่อนตลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้โรงงานหลายแห่งกลับมาดำเนินกิจการอีกครั้ง ส่งผลให้ดัชนี PMI ภาคการผลิต พุ่งขึ้นแตะ 52.1 จุด ในเดือน ต.ค. นอกจากนี้ สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจอีก 5 ปีข้างหน้า มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามกลายมาเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย ได้แก่

(ประการแรก) เวียดนามยังคงได้รับประโยชน์จากต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรมต่ำ,

(ประการที่สอง) เวียดนามมีกำลังแรงงานที่มีขนาดใหญ่และมีการศึกษาที่ดีเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(ประการที่สาม) การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการใช้จ่ายทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน

(ประการที่สี่) เวียดนามได้รับประโยชย์ในฐานะตลาดที่มีศักยภาพ

(ประการที่ห้า) บริษัทต่างชาติกระจายห่วงโซ๋อุปทานการผลิตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อลดความเสี่ยงการหยุดชะงักด้านอุปทานและปัญหาทางการเมือง

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/ihs-markit-optimistic-about-vietnams-economic-recovery-from-covid-19-wave-905282.vov

ถั่วเมียนมาเริ่มเป็นที่ต้องการจากอินเดีย

ผู้ค้าถั่วเมียนมา เผย ตลาดถั่วและถั่วพัลส์ของเมียนมาคาดว่าจะเติบโตจากกลุ่มผู้ซื้อที่จากอินเดีย ชาวไร่ชาวสวนผู้ปลูกถั่วอินเดียประสบปัญหาสภาพอากาศเลวร้ายต่อการปลูกถั่ว ดังนั้นความต้องการจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กระทรวงการเกษตรและสวัสดิการเกษตรกร ของอินเดียอนุญาติให้นำเข้าถั่วดำรวมถึงถั่วพัลส์อื่น ๆ จากเมียนมา ด้วยการผ่อนคลายเงื่อนไขในการขนส่งจนถึงวันที่ 30 ธ.ค.2564ราคาของถั่วมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นราคาจึงไม่น่าจะลดลงจนถึงเดือนธ.ค. ปัจจุบัน ราคาถั่วเขียว (ชเววา) ต่อตะกร้าอยู่ที่ 44,000 จัต ถั่วเขียว 40,000 จัตต่อตะกร้า ถั่วดำ 46,000 จัตต่อตะกร้า และถั่วลิสง 59 ,000 จัตต่อตะกร้า ในปีงบประมาณ 2563-2564 เมียนมาออกถั่ว 1.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการส่งออกทางเรือ 966.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 1.24 ล้าน และส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านผ่านชายแดน 604.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากจำนวน 786,920 ตัน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-bean-market-sees-high-potential-on-possible-demand-of-india/#article-title

สปป.ลาว UN ตกลงส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

เมื่อวันอังคาร รัฐบาลและองค์การสหประชาชาติได้ลงนามในกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของ สปป. ลาว-UN (UNSDCF) ปี 2022-2026 โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างลาวและสหประชาชาติในการบรรลุลำดับความสำคัญในการพัฒนาของลาว โดยมีลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์สี่ประการ: 1) สวัสดิภาพของประชาชน; 2) ความเจริญรุ่งเรืองรวม; 3) ธรรมาภิบาลและหลักนิติธรรม และ 4) สิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความยืดหยุ่น กรอบความร่วมมือใหม่นี้จะเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการวางแผนและการดำเนินโครงการพัฒนาประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปโลกขององค์การสหประชาชาติที่มุ่งมั่นทำให้ระบบการพัฒนาของสหประชาชาติมีความสอดคล้อง มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือและการสนับสนุนจากหน่วยงานของสหประชาชาติในลาวในช่วงปี พ.ศ. 2565-2569 โดยมีเป้าหมายเพื่อสนองความต้องการของสปป.ลาว ในการพัฒนาประเทศ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_LaosUN_225_21.php

สปป.ลาวเพิ่มพื้นที่ผลิตผลทางการเกษตรตามแนวรถไฟจีน-ลาว

รัฐบาลสปป.ลาวได้วางแผนที่จะเร่งการจัดสรรพื้นที่การผลิตทางการเกษตรทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่สำคัญในจังหวัดตามแนวทางรถไฟและทางด่วนจีน-ลาว และจังหวัดที่มีศักยภาพที่ยังไม่ได้ใช้ ตามรายงานของสำนักข่าวลาวเมื่อวันศุกร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ เพชร พรมพิภักดิ์ กล่าวว่า “กระทรวงของเขาได้กำหนดมาตรการพัฒนาการเกษตรที่มุ่งเน้นในปี 2565 มาตรการดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับระบบนิเวศของพืชผลและสัตว์ ซึ่งจะทำการเกษตรเพื่อการค้าและการส่งออก และเพื่อดึงดูดการลงทุนในประเทศและต่างประเทศด้วยการกำหนดนโยบายที่เอื้ออำนวยและสร้างสภาพแวดล้อมในการลงทุนที่เอื้ออำนวย” แผนดังกล่าวจะเน้นไปที่การส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปโดยการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิต เช่น โรงสีข้าว โรงเลื่อย เครื่องอบแห้ง โรงงานปุ๋ยหมัก โรงฆ่าสัตว์ และสถานีขนถ่ายสินค้าที่สถานีรถไฟ และใช้เทคนิคการผลิตที่ทันสมัยเพื่อลดต้นทุน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50971550/laos-to-increase-agricultural-production-areas-along-china-laos-railway/

จ.พระสีหนุ จุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวภายในกัมพูชา

จังหวัดชายฝั่งอย่างพระสีหนุ ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในหมู่นักท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการท่องเที่ยวรายงานถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากกว่า 180,000 คน ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในจำนวนนี้คิดเป็นนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาจำนวน 175,801 คน และชาวต่างชาติอีกจำนวน 4,495 คน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของสัปดาห์ก่อน โดยสถานที่ท่องเที่ยวและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั่วประเทศได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและได้เตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลน้ำที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ยังได้ประกาศยกเลิกข้อกำหนดการกักกันสำหรับผู้โดยสารที่รับวัคซีนครบตามกำหนด ทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. เป็นต้นไป

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50971480/preah-sihanouk-province-the-most-visited-destination-last-weekend/

กัมพูชายกเลิกการกักตัวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

หลังจากนายกรัฐมนตรีฮุนเซนได้ประกาศเปิดประเทศสำหรับนักธุรกิจที่จำเป็นต้องเดินทางมายังกัมพูชาเพื่อดำเนินธุรกิจ ไปเมื่อวันที่ 1 พ.ย. โดยเมื่อวันที่ 15 พ.ย. กัมพูชาได้ขยายขอบเขตการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งตั้งเป้าที่จะต้อนรับผู้โดยสารขาเข้าไม่ว่าจะเป็นชาวกัมพูชาที่เดินกลับมาจากต่างประเทศ หรือชาวต่างชาติ อาทิเช่น นักท่องเที่ยว หรือนักธุรกิจ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องกักตัว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้ผู้ที่จะเดินทางมายังกัมพูชาต้องทำการตรวจแบบ PCR ก่อน โดยผลตรวจต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนการเดินทางมายังกัมพูชา และเมื่อมาถึงกัมพูชาผู้โดยสารต้องทำการทดสอบอีกครั้งที่สนามบิน ซึ่งใช้เวลารอประมาณ 20 นาที จึงจะทราบผลหากผลเป็นลบนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังที่ใดก็ได้ในกัมพูชา แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนยังคงต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ตามกำหนด

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50971326/end-of-quarantine-means-the-country-is-truly-back-in-business/

ผู้แทนจากสปป.ลาวและประเทศสมาชิก SEAMEO อนุมัติแผนพัฒนาการศึกษา

สมาชิกขององค์การรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO) ได้อนุมัติแผนกลยุทธ์สำหรับปี 2564-2568 เพื่อจัดการกับความร่วมมือระดับภูมิภาคในการพัฒนาการศึกษา แผนดังกล่าวจะส่งเสริมความยืดหยุ่นในการเผชิญเหตุฉุกเฉินพร้อมกับการศึกษาและการฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา และการปรับปรุงการศึกษาของครู ในระหว่างการประชุม ในนามของผู้แทนลาว ผู้อำนวยการของ SEAMEO CED รองศาสตราจารย์ ดร. Niane Sivongxay กล่าวว่า “รัฐบาลลาวได้สร้างโอกาสสำหรับพลเมืองลาวทุกคนในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน ศูนย์ของเรามีบทบาทสำคัญในการจัดการกับอุปสรรคในการรวมและส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมกับโรงเรียน” แผลกลยุทธ์ดังกล่าวจะยกระดับการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ในสปป.ลาวให้ดีเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาคนพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos_Asian_224.php