สปป.ลาว และตุรกี ร่วมลงนาม MOU ด้านเศรษฐกิจและการค้า

รัฐบาล สปป.ลาว และตุรกี วางแผนที่จะขยายความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจและการค้า โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจในนามของรัฐบาลทั้งสองประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า และทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคีในปีที่ผ่านมา และทิศทางในอนาคตที่เป็นไปได้ของการเชื่อมสัมพันธ์ที่มากขึ้น และยังแบ่งปันความคิดเห็นในประเด็นระดับภูมิภาคและระดับโลกที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยรัฐมนตรีทั้งสองกล่าวถึงความสำเร็จมากมายตลอดระยะเวลา 60 ปีแห่งมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเห็นพ้องกันว่าความสัมพันธ์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้า และด้านอื่นๆ สำหรับการค้าทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศขยายตัวจุดสูงสุดในปี 2561 และ 2562 แต่ต่อมาลดลง 75.0% เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 จากนั้นมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศกลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 11.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งส่งสัญญาณการฟื้นตัวในด้านการค้าระหว่างกันของทั้งสองประเทศ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_27_LaoTurkiye_y24.php

อัตราเงินเฟ้อของลาวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนมกราคม 2567

รายงานล่าสุดจากสำนักงานสถิติลาว ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อของลาว เดือนมกราคม 2567 ขยายตัวที่ 24.44% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 24.37% ในเดือนธันวาคม 2566 ตามราคาสินค้าในกลุ่มที่พักแรมและร้านอาหาร ซึ่งขยายตัว 35.98% เมื่อเทียบกับปีก่อน หมวดสินค้าอื่นๆ ที่ผลักดันอัตราเงินเฟ้อของลาวเดือนนี้ ได้แก่ หมวดเสื้อผ้าและรองเท้า ขยายตัว 33.38% หมวดการดูแลทางการแพทย์และยา ขยายตัว 31.03% หมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ขยายตัว 25.26% และหมวดของใช้ในครัวเรือน ขยายตัว 24.50% จากผลของความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล ส่งผลให้ราคาอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ผลักดันอัตราเงินเฟ้อของลาว ทั้งนี้ ธนาคารแห่ง สปป.ลาว (BOL) จะพยายามลดอัตราเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ 9.0% หรือตัวเลขหลักเดียวภายในสิ้นปี 2567 โดยรับประกันว่ารายได้จากการส่งออกจะเข้าสู่ระบบธนาคาร

ที่มา : https://english.news.cn/asiapacific/20240207/ac65e13de9894ca99c4f3743321973ee/c.html

กัมพูชา-ไทย ตั้งเป้าการค้าระหว่างกันแตะ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในปี 2025

นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและไทย มีกำหนดการพบปะกันที่กรุงเทพฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับขั้นตอนในการส่งเสริมการค้าในระดับทวิภาคี รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน และการขจัดอุปสรรคระหว่างทั้งสองประเทศ โดยประเทศไทยถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของกัมพูชาเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่มูลค่าการค้ารวม 3.71 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023 ลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มูลค่า 4.47 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2022 ตามรายงานของกรมศุลกากรและสรรพสามิต ซึ่งสินค้าส่งออกหลักของกัมพูชาไปยังไทย ได้แก่ สิ่งทอ สินค้าเกษตร อัญมณี วัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ด้านสินค้านำเข้าจากไทย ได้แก่ ปลา เนื้อสัตว์ ผัก รถยนต์ ปุ๋ยอินทรีย์ อาหาร และวัสดุก่อสร้าง เป็นสำคัญ สำหรับการเดินทางไปเมืองไทยของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต จะเดินทางเยือนเมืองไทยในวันพุธนี้ (7 ก.พ.) ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งจะทำการเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501434816/cambodia-thailand-target-15-billion-trade-by-2025/

‘คณะผู้แทน’ สำรวจความต้องการผู้บริโภคในช่วงเทศกาลเต็ต พุ่ง 20-30%

คณะผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า และคณะกรรมการประชาชนของเทศบาล รายงานผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 5 ก.พ. พบว่าความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 20-30% ภายหลังเทศส่งเทพเจ้าเตาไฟ โดยซูเปอร์มาร์เก็ตและธุรกิจต่างๆ คาดการณ์ว่าความต้องการจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษญวน หรือเรียกเต็ต (Tet) และยังได้มีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนลงนามสัญญาต่างๆ กับองค์กร เพื่อที่จะเพิ่มผลผลิตสินค้า โดนเฉพาะสินค้าจำเป็น อาหารและของชำ

นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาเข้าสู่การค้าดิจิทัลออนไลน์ ตั้งแต่การพัฒนาช่องทางการขายของออนไลน์ไปจนถึงการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงการให้บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านและเชื่อมต่อไปยังเมืองและจังหวัดต่างๆ

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/consumer-demand-up-20-30-in-run-up-to-tet-post1075927.vov

‘เวียดนาม’ กลายเป็นผู้นำเข้าผลผลิตทางการเกษตรรายใหญ่ที่สุดของอาร์เจนตินา

หนังสือพิมพ์ออนไลน์ชื่อดังของอาร์เจนตินา ‘Infobae’ และ ‘Acercando Naciones’ ได้อ้างข้อมูลจากตลาดสินค้าเกษตรอาร์เจนตินา พบว่าเวียดนามกลายมาเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดและผงถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของอาร์เจนตินาในปีที่แล้ว มีปริมาณรวมสูงถึง 5.3 ล้านตัน มูลค่าราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 ซึ่งนับเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่เวียดนามแซงหน้าจีนจนขึ้นมาเป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ จากตัวเลขสถิติในปีที่แล้วแสดงให้เห็นว่าอาร์เจนตินาที่เป็นผู้ส่งออกธัญพืชและผลิตภัณฑ์แปรรูปรายใหญ่ ส่งออกได้เพียง 56 ล้านตัน ลดลงเกินกว่า 37 ล้านตัน หรือประมาณ 40% เมื่อเทียบกับปี 2565 ถือเป็นผลผลิตต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 สาเหตุมาจากภาวะแล้งที่รุนแรงและยืดเยื้อ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-becomes-biggest-importer-of-argentine-farm-produce/279298.vnp

ธนาคารกลางเมียนมาขายเงิน 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 200 ล้านบาทในตลาดการเงิน

เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางแห่งเมียนมา (CBM) ขายเงิน 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ 200 ล้านบาทเข้าสู่ตลาดการเงิน โดยขายเงินเข้าสู่ตลาดฟอเร็กซ์เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ได้ 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบนแพลตฟอร์มการซื้อขายสำหรับผู้ส่งออก/ผู้นำเข้าออนไลน์ 5 ล้านดอลลาร์และ 50 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ คิดเป็นมูลค่ารวม 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 250 ล้านบาท โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงที่กำหนดโดย CBM คือ 2,100 จ๊าดต่อดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มีอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดที่ไม่เป็นทางการอยู่ที่ประมาณ 3,500 จ๊าดต่อดอลลาร์สหรัฐ, 99 จ๊าดต่อบาทไทย และ 490 จ๊าดต่อหยวนจีน อย่างไรก็ดี ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 ธนาคารกลางเมียนมา ขายเงินดอลลาร์ได้ 68.33 ล้านดอลลาร์ ขายเงินบาทได้ 313.5 ล้านบาท และขายเงินหยวนได้ 4.2 ล้านหยวน รวมทั้งยังมีการอัดฉีดเงินลงทุน 22.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าสู่ภาคน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/cbm-sells-us11m-200m-thai-baht-into-financial-market-on-5-feb/

ราคาอ้างอิงขายส่งน้ำมันปาล์มของย่างกุ้ง แสดงถึงการปรับลดลง

ตามรายงานของคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการนำเข้าน้ำมันบริโภคและ การกระจายสินค้า อัตราอ้างอิงการขายส่งน้ำมันปาล์มสำหรับตลาดย่างกุ้งปรับลดลงเล็กน้อยเป็น 5,275 จ๊าดต่อviss ในช่วงสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 12 กุมภาพันธ์ เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการลดลงเล็กน้อยที่ประมาณ 105 จ๊าดต่อviss ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลการนำเข้าและจัดจำหน่ายน้ำมันบริโภคภายใต้กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามราคา FOB ในมาเลเซียและอินโดนีเซียอย่างใกล้ชิด โดยเพิ่มค่าขนส่ง ภาษี และบริการทางธนาคาร เพื่อกำหนดอัตราอ้างอิงตลาดขายส่งรายสัปดาห์สำหรับน้ำมันบริโภค อย่างไรก็ตามราคาจริงในตลาดนั้นยังคงสูงกว่าราคาอ้างอิงมาก นอกจากนี้ กระทรวงกำลังพยายามร่วมกันควบคุมความผันผวนสูงของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดค้าปลีก และเสนอราคาที่ยุติธรรมมากขึ้นแก่ผู้บริโภค โดยประสานงานกับสมาคมผู้ค้าน้ำมันบริโภคแห่งเมียนมาร์และบริษัทนำเข้าน้ำมัน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/ygn-palm-oil-wholesale-reference-price-shows-downtick/#article-title

สปป.ลาว เปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ที่แขวงบ่อแก้ว เพื่อรองรับการลงทุนและการท่องเที่ยว

นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ร่วมพิธีเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ในแขวงบ่อแก้ว ทางตอนเหนือของประเทศ เพื่อรองรับการเดินทางในเขตภาคเหนือของประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับการลงทุนและการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น นาย Lan Seng-Aphone รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง กล่าวในพิธีกล่าวว่า สนามบินนานาชาติบ่อแก้ว เป็นการลงทุนของ BOT ทั้งหมด และบริหารจัดการโดย Greater Bay Area Investments and Development Limited สนามบินแห่งนี้ได้รับมาตรฐานสิ่งอำนวยความสะดวกขนาด Code 4C และมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทได้รับสัมปทานระยะเวลา 50 ปี ซึ่งสามารถต่ออายุได้หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาล สนามบินแห่งนี้อยู่ใกล้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ มีพื้นที่ 314 เฮกตาร์ 5,478 ตารางเมตร และมีรันเวย์ความยาว 2,500 เมตร สามารถขยายได้สูงสุดถึง 3,000 เมตร เพื่อรองรับเครื่องบินแอร์บัส A320 และโบอิง 737 อาคารผู้โดยสารสามารถรองรับคนได้ 600 คนในคราวเดียว

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_26_International_y24.php

สปป.ลาว ยืนยันการตรวจพบ ‘เชื้อไข้หวัดนก (H5N1) ในเวียงจันทน์’

ตามการรายงานชองกรมปศุสัตว์และประมง สังกัดกระทรวงเกษตรและป่าไม้ของ สปป.ลาว ยืนยันการระบาดของไข้หวัดนก (H5N1) โดยตรวจพบที่ตลาดแห่งหนึ่งในเขตไซธานี นครหลวงเวียงจันทน์ หลังจากเก็บตัวอย่างสัตว์ปีกประมาณ 30 ตัว จาก 65 ตัวอย่าง ที่เก็บจากตลาดมีผลการทดสอบเป็นบวก หลังจากการค้นพบครั้งแรก มีการเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมอีก 11 ตัวอย่าง ซึ่งเผยให้เห็นการมีอยู่ของไวรัส H5N1 ใน 5 ตัวอย่าง และ H9N2 ซึ่งเป็นชนิดย่อยของโรคไข้หวัดนกในอีก 5 ตัวอย่าง เพื่อตอบสนองต่อการระบาด กรมวิชาการเกษตรและป่าไม้ได้ออกคำสั่งให้ภาคปศุสัตว์ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของการติดเชื้อ รวบรวมข้อมูลที่จำเป็น แยกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และดำเนินมาตรการ เช่น การทำลายสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ หรือการแบ่งเขตพื้นที่เสี่ยงสูง นอกจากนี้ ประชาชนในท้องถิ่นยังได้รับคำสั่งให้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแพร่กระจายของโรคอีกด้วย ไข้หวัดใหญ่ H5N1 เป็นไข้หวัดใหญ่ที่ปกติจะแพร่กระจายระหว่างสัตว์ปีกที่ป่วย แต่บางครั้งสามารถแพร่กระจายจากสัตว์ปีกสู่คนได้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการมีไข้ ไอ น้ำมูกไหล และโรคทางเดินหายใจรุนแรง

ที่มา : https://english.news.cn/20240205/e2c7c6f97eec4f7dac47626c3790a2b1/c.html

ปริมาณสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคในกัมพูชาเพิ่มขึ้นกว่า 5% ในไตรมาสก่อน

การขอสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคในกัมพูชาเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปี 2023 เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณสินเชื่ออุปเพื่อโภคบริโภคทั้งหมดเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.51 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แตะมูลค่าสินเชื่อรวมกว่า 15.01 พันล้านดอลลาร์ สำหรับจำนวนบัญชีสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 1.76 ล้านบัญชี โดยร้อยละ 80.27 อยู่ในหมวดการเงินส่วนบุคคล รองลงมาร้อยละ 11.53 อยู่ในหมวดสินเชื่อจำนอง และร้อยละ 8.20 อยู่ในหมวดบัตรเครดิต ซึ่งการเพิ่มขึ้นของปริมาณบัญชีสินเชื่ออุปโภคบริโภคสูงสุดในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับคุณภาพของสินเชื่อผู้บริโภคที่วัดด้วยอัตราส่วน 30+ DPD (เกินกำหนดชำระมากกว่า 30 วัน) เพื่อบ่งชี้ความน่าเชื่อถือทางเครดิตและความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้ มีการเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.14 บ่งชี้ว่าคุณภาพสินเชื่อลดลงเล็กน้อย

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501434280/consumer-loan-applications-go-up-by-5-in-q4-last-year/