ตัวแทนบริษัทจากสหรัฐอเมริกาจะไปเยือนกัมพูชา

ตัวแทนจาก 16 บริษัท จากสหรัฐอเมริกาจะไปเยือนกัมพูชาในสัปดาห์นี้เพื่อสำรวจแนวโน้มล่าสุดในภาคเกษตรกรรมของประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักเช่น Amazon, John Deer, IBM, Walmart, US Grains Council และ Sripipat Engineering โดยมีกำหนดการจะเดินทางมาถึงกัมพูชาในต้นเดือนหน้าตามที่สถานทูตสหรัฐฯในกรุงพนมเปญรายงาน ซึ่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจในภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา โดยบริษัทจะมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีความปลอดภัยทางชีวภาพ และความปลอดภัยของอาหารในภาคเกษตรกรรม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแนะนำให้บริษัทจากสหรัฐสามารถลงทุนในการเกษตร การแปรรูปอัญมณี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยข้อมูลการค้าระหว่างสองประเทศระหว่างกัมพูชาและสหรัฐอเมริกามีมูลค่าราว 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50686575/us-firms-to-visit-cambodia

พอร์ตฝั่งสินเชื่อในกัมพูชามีมูลค่าสูงถึง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ประธานกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ (CMA) ของสมาคมไมโครไฟแนนซ์กัมพูชากล่าวว่าภาคการเงินจะยังคงแข็งแกร่งต่อไปเนื่องจากมีพอร์ตสินเชื่อมากกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยตั้งข้อสังเกตว่ามี 2.1 ล้านคน ในกัมพูชาใช้บริการของผู้ให้กู้รายย่อยรวม 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 เพิ่มขึ้นกว่า 30% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเขาตั้งข้อสังเกตเพิ่มขึ้นอีกว่าผลประกอบการที่ดียังสะท้อนถึงสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ซึ่งเขากล่าวว่าเงินให้สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 30 วันนั้นต่ำกว่า 1% ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้ว โดยลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม การค้าและการผลิต ซึ่งกระทรวงเศรษฐกิจและการเงินคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาเฉลี่ย 6.1% ในปีนี้ โดยสาเหตุหลักคาดว่ามาจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ การระบาดของ Coronavirus การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางการเมืองระหว่างประเทศ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อตกลงการค้า EBA ระหว่างกัมพูชาและสหภาพยุโรป รวมไปถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50686626/loan-portfolio-goes-over-7bln-but-is-predicted-to-be-lower-this-year

รายได้จากสินค้าเกษตรเมียนมามากกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ

เมียนมามีรายรับ 1.082 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกสินค้าเกษตรตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 17 มกราคมในปีงบประมาณนี้และเมื่อเทียบกับการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่141.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เมียนมาส่งออกสินค้าเกษตร ประมง เหมืองแร่ ป่าไม้  สินค้าที่ผลิตแบบ CMP (Cutting Making และ Packaging) และอื่นๆ เมียนมาส่วนใหญ่ส่งออกข้าว งานแสดงสินค้าอัญมณีสามารถเพิ่มการขายหยก สินค้าที่ผลิตแบบ CMP เพิ่มขึ้นทุกปี ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นเพื่อสร้างรายได้มากขึ้น ส่วนการส่งออกถั่วลดลงเป็น 80,000 ตันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-earns-over-us1-b-from-agricultural-products

เมียนมาเล็งหาตลาดส่งออกใหม่หลังการระบาดของไวรัสโคโรน่าในจีน

เมียนมาเร่งขยายการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ เพื่อชดเชยต้องการที่ของจีนซึ่งกำลังได้รับผลดระทบจากไวรัสโคโรนา ที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 14,000 คนและเสียชีวิตกว่า 300 รายส่วนใหญ่มาจากมณฑลหูเป่ย ปัจจุบันการส่งออกแตงหยุดชะงักและราคาได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงมีการเตรียมการที่จะส่งสินค้าไปยังตลาดอื่น ๆ มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของอุปสงค์จากจีน โดยมีการวางแผนในการส่งออกสินค้าทางอากาศและทางทะเลเพื่อชดเชยการค้าที่ชายแดนที่ลดลง นับตั้งแต่มีการระบาดของโคโรนาไวรัสจีนได้หยุดการนำเข้าแตงและเก็บสต๊อกผลไม้ในมณฑลยูนนาน ประมาณ 80 %ของการค้าชายแดนทั้งหมดเกิดขึ้นที่ด่านมูเซ ปริมาณการค้าชายแดนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างวันที่ 1 ตุลาคมถึง 24 มกราคมของปีงบประมาณปัจจุบัน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-hedge-against-slower-china-trade-due-coronavirus.html

สนค. ชี้ส่งออก2563 มีโอกาสบวก เปิดลิสต์ “30 สินค้าดาวเด่น”

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออก 2563 คาดการณ์จะกลับมาดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดย IMF คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.3 % ในปี 63 ท่าทีความพร้อมในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของหลายประเทศ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มผ่อนคลายจากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (Phase-1 Deal) สถานการณ์ Brexit มีความชัดเจนแล้ว และมีช่วงเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งจะยังไม่ส่งกระทบต่อผู้ประกอบการไทย และค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มอ่อนค่าลง  ทั้งนี้ สนค. จึงได้ทำการวิเคราะห์สินค้าที่มีแนวโน้มการส่งออกขยายตัวได้ดี และควรที่จะเร่งผลักดันการส่งออกเพิ่มมากขึ้นในปี 2563 โดยพบว่ามีสินค้ากว่า 30 รายการ ครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม สำหรับสินค้าทั้ง 30 รายการ ในกลุ่มของสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง นมและผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ นาฬิกาและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องสำอางสบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว  ผ้าแบบสำหรับตัดเสื้อ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ส่วนการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีน ยังไม่น่ากระทบต่อการส่งออกไทยในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่มีมูลค่าสูงในตลาดจีน เพราะมีอุปสงค์ซื้อสินค้าอาหารไทยที่มีความปลอดภัยและคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง ทางด้านการรับมือกับผลกระทบจากการที่จะถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่และเตรียมมาตรการรองรับในทุกกรณีอย่างรัดกุม และในด้านการรักษาตลาด มีแผนจัดกิจกรรมนำคณะภาครัฐและเอกชนบุกตลาดเป้าหมายกว่า 18 ประเทศ ในปี 2563 เพื่อรักษาฐานเดิมและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพอย่างครอบคลุม และกระจายความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีตลาดเป้าหมายการจัดกิจกรรมในตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย บังคลาเทศ CLMV ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร รัสเซีย แอฟริกา แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง บาห์เรน และออสเตรเลีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-417259

เวียดนามเผยดัชนีผลผลิตอุตฯ ม.ค. หดตัว

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (IIP) ในเดือนม.ค. ลดลงร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 11.8 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตฯในเดือนม.ค.ลดลง เป็นผลมาจากอยู่ในช่วงเทศกาลวันปีใหม่และจำนวนวันทำงานลดลง ทั้งนี้ ดัชนีผลผลิตอุตฯส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรมการแปรรูปและการผลิต ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.8 ขณะที่ ภาคการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าลดลงร้อยละ 3.5 ส่วนภาคเหมืองแร่ลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีการลดลง ได้แก่ รถยนต์ น้ำตาล มอเตอร์ไซต์ แก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) ถ่านหิน นมผงและเหล็กดิบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บางรายการของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีการเพิ่มขึ้น ได้แก่ แร่โลหะ เหล็กเส้นและเหล็กฉาก โทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ GSO ระบุว่าการผลิตจะฟื้นตัวอีกในไม่ช้า เพราะว่าในเดือนม.ค. จำนวนพนักงานในสถานประกอบการอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/national-index-of-industrial-production-down-in-january-409500.vov

เวียดนามลงทุนต่างประเทศในเดือนม.ค. ทะลุ 3.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากข้อมูลของสำนักงานการลงทุนต่างประเทศ (FIA) เปิดเผยว่าจำนวนเงินลงทุนของเวียดนามไปยังต่างประเทศ 3.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนม.ค. นับว่าเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ประกอบไปด้วย 7 โครงการใหม่ด้วยเงินทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 3.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีกหนึ่งโครงการที่ปรับเพิ่มเงินทุนประมาณ 140,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยประเภทของกิจการส่วนใหญ่ที่เวียดนามลงทุนไปยังต่างประเทศ คือ ภาคการค้าปลีกและค้าส่ง (71.8% ของเงินลงทุนจดทะเบียนทั้งหมด) รองลงมาภาคก่อสร้าง ภาคการผลิตและแปรรูป และโทรคมนาคม ทั้งนี้ในเดือนม.ค. ธุรกิจเวียดนามลงทุนไปยังสหรัฐอเมริกามากที่สุด คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาญี่ปุ่น กัมพูชาและเกาหลีใต้ ตามลำดับ สำหรับประเภทธุรกิจอื่นๆที่น่าสนใจอีก ได้แก่ ธุรกิจประเภทเกษตรกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ในปี 2562 ยอดเงินทุนที่เวียดนามลงทุนไปยังต่างประเทศทั่วโลก มีมูลค่ามากกว่า 508 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลงทุนไปยัง 164 โครงการใหม่ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 403 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 29 โครงการที่ปรับเพิ่มเงินทุนรวมอยู่ที่ราว 105 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-invests-397-million-usd-abroad-in-january-409501.vov

แรงงานเมียนมา 130 คนเดินกลับเมียวดีภายหลังโรงงานปิดกิจการ

แรงงานเมียนมาจำนวน 130 คนถูกส่งกลับไปยังเมียวดีเมื่อวันที่ 31 มกราคมเนื่องจากการโรงงานที่กาญจนบุรีปิดกิจการลง โรงงานแห่งนี้เป็นของชาวจีนและมีคนงานมากกว่า 300 คน โรงงานถูกปิดอย่างกะทันหันเนื่องจากวัตถุดิบจากจีนไม่สามารถส่งได้เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา แรงงานข้ามชาตินี้เป็นไปตามข้อตกลงของไทยและเมียนมา (MoU) และต้องจ่ายเงินประมาณ 1 ล้านจัต เพื่อทำงานอย่างถูกกฏหมาย ด้านกงสุลแรงงานประจำแม่ สอดกำลังช่วยแรงงานอพยพกลับและพบกับตัวแทนจัดหางานเพื่อขอเงินชดเชย

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/130-myanmar-workers-return-to-myawady-due-to-the-factory-closure

ผู้ส่งออกข้าวโพดเมียนมาเล็งหาตลาดใหม่

นาย U Min Khaing ประธานสมาคมอุตสาหกรรมข้าวโพดเมียนมากล่าวว่า ผู้ค้าข้าวโพดกำลังมองหาตลาดใหม่ ๆ โดยเป้าหมายที่คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดีย เดือน มิถุนายนตัวแทนจากสมาคมจะไปเยือนจีนเพื่อโปรโมตข้าวโพดที่ผลิตในรัฐฉาน ทั้งนี้ยังได้ตกลงที่จะส่งออกไปยัไทย แต่ยังรอการอนุญาตอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามภาษีนำเข้าที่สูงยังเป็นความท้าทายที่สำคัญ ภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีระหว่างไทยกับเมียนมาการส่งออกข้าวโพดได้รับการยกเว้นภาษีระหว่างเดือนก.พ. – ส.ค 62 ช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.ส่งออกข้าวโพดมากกว่า 100,000 ตัน เมื่อเทียบกับ 200,000 ตันในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ช่วงปีงบประมาณ 61-62 ส่งออกข้าวโพด 1.5 ล้านตันมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐเทียบกับ 1.1 ล้านตันมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 58-59 พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเมียนมามีมากกว่า 1.9 ล้านเอเคอร์ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐสะกาย มาเกว คายิน ชีน ฉาน และกะยา  โดยราคาข้าวโพดปัจจุบันอยู่ที่ 480 จัตถึง 495 จัตต่อ viss (1.65 กิโลกรัม)

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/demand-falters-corn-traders-seek-new-markets.html

LAO Airlines ลดเที่ยวบินสู่จุดหมายปลายทางประเทศจีน

สายการบินสปป.ลาวระงับเที่ยวบินเช่าเหมาลำไปยัง 5 เมืองในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดหลักของสายการบิน Mr .Bounma ประธานกรรมการบริหาร LAO Airlines กล่าวว่าผู้ประกอบการทัวร์จีนส่งจดหมายถึง Lao Airlines เพื่อขอให้ระงับเที่ยวบินเช่าเหมาลำหลังจากที่พวกเขาได้รับคำแนะนำให้ยกเลิกทัวร์ขาออกจากจีนมายังลาว เนื่องจากแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าที่รุนแรงขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม LAO Airlines ไม่ได้ยกเลิกเส้นจากจีนทุกเส้นทางเนื่องจากจีนไม่ได้ขอให้สปป.ลาวระงับในบางเส้นทางและสปป.ลาวก็เห็นด้วยกับคำร้องขอดังกล่าว อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายอย่างมากแก่สปป.ลาวจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักโดยปี62มีจำนวนคนจีนมาเที่ยวมากถึง 4.9 ล้านคน ทำให้การท่องเที่ยวในปีที่ผ่านมาเติบโตและเป็นปัจจัยที่สำคัญตัวหนึ่งที่ค่อยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสปป.ลาวให้เติบโต ดังนั้นการเกิดสถานการณ์ในปัจจุบันส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของสปป.ลาวในปีนี้อย่างแน่นอน นั้นจึงเป็นทำให้รัฐบาลต้องกระตือรือร้นเพื่อแก้ปัญหาและวางแนวทางใหม่สำหรับการกระตุ้นการท่องเที่ยว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Lao_Airlines_23.php