กัมพูชา-เวียดนาม ตัวเลือกลงทุนแทนเมียนมา
ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้อในเมียนมาขณะนี้ ทำให้บริษัทต่างชาติเริ่มคิดที่จะถอนการลงทุนออกจากประเทศนี้ ขณะที่มีบริษัทบางแห่งประกาศยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทท้องถิ่นที่มีสายสัมพันธ์กับกองทัพให้เห็นบ้างแล้ว และหันไปมองประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่าอย่างกัมพูชาและเวียดนาม ข้อมูลจากสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)ระบุว่า การลงทุนโดยตรงของต่างชาติ(เอฟดีไอ)ที่ไหลเข้าไปในกลุ่มประเทศ CLMV ขยายตัว 6.3% ในปี 2562 โดยเวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ1 ในแง่ของมูลค่าการลงทุนที่ 16,100 ล้านดอลลาร์ และเมียนมา เคยเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวของเอฟดีไอสูงสุดที่ 55.9% แต่เมื่อกองทัพเข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 1ก.พ.ที่ผ่านมา กระแสเอฟดีไอในเมียนมาก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย
ทั้งนี้ ฟิลด์ พิคเกอริง หัวหน้าหน่วยงานด้านการลงทุนจากวัลเพส อินเวสต์เมนท์ แมเนจเมน กล่าวว่าความไม่สงบเรียบร้อยที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ทำให้บรรดาผู้ประกอบการเมียนมาอาจเลือกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น และเข้าไปสร้างธุรกิจให้เติบโตในดินแดนอื่นภายในภูมิภาคอาเซียน เท่ากับว่าเป็นความสูญเสียของเมียนมาแต่เป็นการได้ประโยชน์ของประเทศอื่นๆในภูมิภาคแทน
จีนออกใบอนุญาตให้เมียนมาส่งออกข้าวเพิ่มในปีนี้
จากการเปิดเผยของ นาย Muse U Min Thein รองประธานของ Muse Rice Wholesale Center กรมศุลกากรของจีนให้ได้ออกใบอนุญาตการส่งออกข้าวให้แก่ บริษัท ในเมียนมาเพิ่มเติมในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อส่งออกข้าวผ่านชายแดนมูเซ บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามปริมาณข้าวที่อนุญาตสำหรับการส่งออกยังไม่ได้รับการยืนยัน ใบอนุญาตนำเข้าข้าวของจีนปี 63 หมดอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 63 การค้าข้าวถูกระงับ ขณะนี้ผู้ค้าข้าวเมียนมาสามารถส่งออกข้าวภายใต้ใบอนุญาตใหม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตามการปิดธนาคารทำให้เกิดปัญหาการทำธุรกรรมหยุดชะงักลง ดังนั้นการซื้อขายจึงลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เมียนมาส่งข้าวและปลายข้าวไปยังต่างประเทศมากกว่า 720,000 ตันระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 63 ถึง 15 มกราคม 64 ของงบฯ ปัจจุบันโดยมีรายได้กว่า 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศส่งผลกระทบต่อความพร้อมของชลประทานในการเกษตร ด้วยเหตุนี้สหพันธ์ข้าวแห่งเมียนมาร์ (MRF) จึงตั้งเป้าการส่งออกไว้ที่ 2 ล้านตันในปีงบประมาณปัจจุบันเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวในฤดูร้อนลดลง เมียนมามีรายได้กว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกข้าวในช่วงปีงบประมาณ 63-64 ที่ผ่านมาโดยมีปริมาณกว่า 2.5 ล้านตัน
ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/china-grant-licences-to-more-myanmar-companies-for-rice-export-this-year/
ปีงบฯ 63-64 การค้าทางทะเลเมียนมามา ลดฮวบ 2.28 พันล้านดอลลาร์ฯ
มูลค่าการค้าทางทะเลของเมียนมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 63 ถึง 12 กุมภาพันธ์ 64 ในปีงบประมาณ 2563-2564 มีมูลค่า 7.997 พันล้านดอลลาร์สหรัฐลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 2.28 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่การส่งออกมีมูลค่า 3.28 พันล้านดอลลาร์ การนำเข้าอยู่ 4.7 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีงบประมาณ 62-63 การนำเข้าลดลง 1.53 พันล้านดอลลาร์ในขณะที่การส่งออกลดลง 751 ล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันมูลค่าการค้าผ่านชายแดนปีงบประมาณนี้อยู่ที่ 3.9 พันล้านดอลลาร์ลดลง 56 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สาเหตุหลักๆ คือ ผลกระทบจาก COVID-19 โดยเฉพาะมาตรการในการเข้มงวดของประเทศเพื่อบ้านและการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ส่งผลให้อัตราค่าขนส่งในเมียนมาร์เพิ่มขึ้นเป็นเกือบสามเท่าทำเกิดความล่าช้า การค้าระหว่างประเทศโดยรวมมีมูลค่าถึง 11.987 พันล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งลดลงจาก 14.3 พันล้านดอลลาร์ฯ จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สถิติของกระทรวงพาณิชย์ระบุ การค้าทางทะเลของเมียนมาสร้างรายได้ 26,000 ล้านดอลลาร์จากมูลค่าการค้าโดยรวมที่ 36,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงปีงบประมาณ 62-63 ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ส่งออกสินค้าเกษตร ประมง แร่ธาตุ ปศุสัตว์ สินค้าจากป่า สินค้าอุตสาหกรรมสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็นำเข้าสินค้าทุน สินค้าอุปโภคบริโภค และวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีท่าเรือ 9 แห่ง มีท่าเรือย่างกุ้งเป็นประตูหลักสำหรับการค้าทางทะเลของเมียนมา รวมถึงอาคารผู้โดยสารชั้นในของย่างกุ้งและท่าเรือติลาวาชั้นนอก
ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/maritime-trade-decreases-by-2-28-bln-in-2020-2021fy/#article-title
อาเซียนเตรียมจัดประชุมพรุ่งนี้ หารือวิกฤตการเมืองเมียนมา
สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เตรียมจัดการประชุมพิเศษในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศในวันพรุ่งนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤตการเมืองในเมียนมา การประชุมดังกล่าวถือเป็นการประชุมครั้งแรกของอาเซียน นับตั้งแต่ที่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ.สมาชิกส่วนใหญ่ของอาเซียนต่างแสดงความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุม ขณะที่มีการเชิญนายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีต่างประเทศของเมียนมา เข้าร่วมการประชุมเช่นกัน รัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกอาเซียนบางส่วนอาจเดินทางเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวที่กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ขณะที่บางส่วนอาจเข้าร่วมการประชุมผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ การประชุมดังกล่าวมีขึ้น หลังมีการจัดการเจรจา 3 ฝ่ายที่กรุงเทพฯ ระหว่างนายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีต่างประเทศของเมียนมา, นางเร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซีย และนายดอน ปรมัติวินัย รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางด้านนายฮิชแชมมุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า อาเซียนควรมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมียนมา นอกจากนี้ นายฮิชแชมมุดดินยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น และหลีกเลี่ยงจากการใช้ความรุนแรง หลังจากมีผู้เสียชีวิตจากการประท้วงการก่อรัฐประหารในเมียนมาถึง 18 รายเมื่อวานนี้ “เรามีความกังวลต่อการบาดเจ็บและการสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ในเมียนมา” นายฮิชแชมมุดดินกล่าวในระหว่างการเดินทางเยือนบูรไน ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในปีนี้
เกษตรกรเมืองมี่นบู้ ปลื้ม ผลผลิต-ราคาถั่วเขียวเพิ่มขึ้น
เกษตรกรหมู่บ้าน U Yin Zin เมืองมี่นบู้ในเขตมะกเวพอใจกับผลผลิตถั่วเขียวที่เพิ่มสูงขึ้นและได้ราคาดีในตลาดท้องถิ่น บางส่วนเพาะปลูกหลังเผชิญกับมรสุมในช่วงเพาะปลูกข้าว และบางรายยังเพาะปลูกด้วยระบบน้ำชลประทาน ซึ่งในปีนี้ราคาลดลงเล็กน้อยจาก 41,000 จัตต่อตะกร้าเหลือ 38,000 จัตต่อตะกร้า ตามที่เกษตรกรในท้องถิ่นกล่าวว่ากรัมสีเขียวให้ผลผลิตอย่างมากมายและมีราคายุติธรรม ก่อนหน้านี้ผลผลิตถั่วเขียวในเมียนมาต่อปีมีเพียง 300,000 ตัน ต่อมามีการปลูกเพิ่มมากกว่า 600,000 ตัน นอกจากนี้การส่งออกส่วนใหญ่จะเน้นไปที่จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และยุโรป
ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/farmers-enjoy-high-yield-of-green-gram/#article-title
ค้าทวิภาคี ไทย – เมียนมา พร้อมดำเนินการหลังไทยเปิดชายแดน
การค้าที่ประตูพรมแดนชั่วคราวพิเศษเมืองหินขุนบริเวณชายแดนระหว่างเมียนมาร์และไทยกลับมาดำเนินการอีกครั้งในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 64 หลังจากฝ่ายไทยเปิดด่านอีกครั้ง ประตูด่านมุต่อง (Mawtaung) ในเขตตะนาวศรีประตูพรมแดนหินขุนในประเทศไทยถูกหลายครั้งเนื่องจากการระบาดของ COVID -19 ไทยตัดสินใจเปิดประตูอีกครั้งในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ แต่เริ่มการค้าได้ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา การค้าทวิภาคีเมียนมาเปิดประตูชายแดนมะแว้ง แต่ไทยเปิดประตูพรมแดน Hsinkhu ชั่วคราวซึ่งหลังจากปิดบ่อยครั้งบ่อยครั้งจากการระบาดของโควิด -19
ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/bilateral-trade-resumes-after-thailand-reopened-its-border-gate
จุรินทร์ เผยค้าชายแดนไทย-เมียนมา ยังไม่สะดุด ชี้สัญญาณส่งออกไทยดีต่อเนื่อง
กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในส่วนการประท้วงในเมียนมาเมื่อวานนี้ ยังไม่ได้รับผลกระทบการส่งสินค้าข้ามแดนระหว่างไทยกับเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นที่ด่านระนองด่านพุน้ำร้อน หรือด่านเจดีย์สามองค์ที่กาญจนบุรี ทั้งนี้ เมื่อวานสถานการณ์ยังปกติยกเว้นที่ด่านแม่สาย ท่าขี้เหล็ก จุดเดียวที่มีการชุมนุมของผู้ชุมนุมในฝั่งเมียนมา การขับรถข้ามแดนส่งสินค้า อาจชะลอตัวบ้าง แต่เนื่องจากผู้ส่งออกของไทยคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าแล้ว จึงได้เร่งการส่งสินค้าข้ามแดนในช่วงเช้าไปได้จำนวนมาก และการจราจรทางด้านการส่งสินค้ายังเคลื่อนตัวไปได้ “ในภาพรวมยังถือว่ายังอยู่ในสถานการณ์ปกติ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่กระทรวงติดตามใกล้ชิด ในอนาคตถ้ามีปัญหาอะไรจะเรียนให้ทราบต่อไป”