เวียดนามเกินดุลการค้า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงไตรมาสแรก

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าเวียดนามเกินดุลการค้าอยู่ที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งมูลค่ามากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดหนักของโรคโควิด-19 ในกลุ่มตลาดส่งออกสำคัญ สำหรับภาคธุรกิจในประเทศขาดดุลการค้า 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ภาคการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเกินดุลการค้า 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น มูลค่าการส่งออกช่วงไตรมาสแรก 59.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และสินค้าส่งออกหลัก 8 รายการที่มีมูลค่าส่งออกมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาจีน สหภาพยุโรป อาเซียน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในขณะเดียวกัน มูลค่าการนำเข้า 56.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.9 และสินค้านำเข้าหลัก 14 รายการที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนยังคงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาเกาหลีใต้ อาเซียน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ทางสำนักงานดังกล่าวคาดว่าเมื่อข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA มีผลบังคับใช้จะทำให้เวียดนามส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 ในปีนี้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อตกลง

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-enjoys-trade-surplus-of-us28-billion-in-first-quarter-411899.vov

COVID-19 ฉุดเศรษฐกิจเวียดนามลงมาอยู่ที่ 6.3% : Fitch Solution

จากรายงานของศูนย์วิจัย Fitch Solutions ในวันที่ 24 มี.ค. เปิดเผยว่าปรับลดอัตราการขยายตัวของ GDP เวียดนาม ในปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 6.3 จากที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.8 ก่อนหน้านี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) อีกทั้ง แนวโน้มของตลาดเกิดใหม่ (EM) ชี้ให้เห็นว่าเวียดนามมีความยืดหยุ่นทางการคลังอยู่ในระดับต่ำ จากการที่หนี้สินภาครัฐสูง รวมถึงทางศูนย์ฯ ยังปรับลดเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่อื่นๆ “แม้ว่าจะไม่แพร่ระบาดของโควิด-19 มากนักในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3 ในปี 2563” ทั้งนี้ ความตึงเครียดของตลาดการเงินทั่วโลกจะแสดงให้เห็นจากความรัดกุมของสภาพคล่องในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ซึ่งทางศูนย์วิจัยมองว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และการเทขายของตลาดหุ้นส่งผลให้ดัชนีหุ้นอ้างอิงของบริษัทในตลาดเกิดใหม่ (MSCI) ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 30 ในขณะที่ ไม่น่าแปลกใจมากนัก จากการที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าความตึงเครียดของตลาดการเงินในตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้การเติบโตลดลงอย่างมากหลังจากภาวะทางการเงินที่ย่ำแย่

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/covid19-to-pull-vietnams-growth-down-to-63-fitch-solutions-411813.vov

แอลจีเรียเป็นตลาดที่มีศักยภาพของผลิตภัณฑ์เวียดนาม

จากรายงานของสำนักงานการค้าเวียดนามในแอลจีเรีย ระบุว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรียเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการส่งออกลวดเย็บกระดาษของเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กาแฟและข้าว เป็นต้น รายได้จากการส่งออกของเวียดนามไปยังแอลจีเรีย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ และเวียดนามอาจขยายส่งออกกาแฟไปยังแอลจีเรีย เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสูงสุดของผู้คนในท้องถิ่น ทั้งนี้ กาแฟเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกชั้นนำของเวียดนามไปยังแอลจีเรีย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 ของตลาดแอลจีเรีย ขณะที่ ข้าวยังคงเป็นสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพอย่างมาก เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 โดยแอลจีเรียส่วนใหญ่จะนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ 100,000 ตันต่อปี ยิ่งไปกว่านั้น อัตราภาษีนำเข้าของประเทศสำหรับอาหารจะต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้าประเภทอื่น นอกจากนี้ ในปี 2562 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังแอลจีเรียราว 17,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และจำนวนแรงงานชาวเอเชียเพิ่มสูงขึ้นในแอลจีเรีย ทำให้มีความต้องการข้าวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/algeria-a-potential-market-for-vietnamese-products/170720.vnp

ยอดคำสั่งซื้ออาหารทะเลดิ่งลง เนื่องจากผลกระทบเชิงลบของโควิด-19

จากข้อมูลของสมาคมผู้ส่งออกและผู้ผลิตอาหารทะเลเวียดนาม (VASEP) เปิดเผยว่ายอดสั่งซื้ออาหารทะเลของธุรกิจลดลง ประมาณร้อยละ 20-50  โดยยอดคำสั่งซื้อลดลงในช่วงต้นเดือนมี.ค. เป็นผลมาจากผลกระทบเชิงลบของโควิด-19 ยกตัวอย่างเช่น บริษัทปลาสวายที่ส่งออกไปยังตลาดจีน ด้วยกำไรสูง แต่ได้หยุดชะงักในช่วงเดือนม.ค.ของปีนี้ จากสถานการณ์แพร่ไวรัส ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงต้นเดือนมี.ค. สถานการณ์แพร่ระบาดหนักไปทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ได้ระงับการทำธุรกรรมทั้งหมดและนโยบายปิดภัตตาคาร โรงแรม ส่งผลให้สินค้าคงเหลือมีจำนวนมากและคำสั่งซื้อใหม่ยังไม่ได้ทำสัญญาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ กิจกรรมการผลิตอาหารทะเลของธุรกิจส่วนใหญ่ล้วนได้รับผลกระทบเชิงลบ จากการที่ขาดวัตถุดิบ ยกเว้นธุรกิจปลาสวาย (Pangasius) ในขณะที่ ยอดคำสั่งซื้อกุ้งลดลงร้อยละ 20-50 จากการส่งออกไปยังสหรัฐฯและยุโรป จากการล่าช้าในการขนส่งหรือยกเลิก เป็นผลมาจากทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้ามีสินค้าคงเหลือจำนวนมาก นอกจากนี้ แนวทางในการจัดการกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทางสมาคมฯ ได้เรียกรองให้สมาชิกเร่งดำเนินตามกฎหมาย เพื่อหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และสิ่งที่ควรทำ คือ กาควบคุมกำลังการผลิตและร่วมมือกับภาครัฐ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/654053/foreign-investors-pour-855b-in-vn-in-q1.html

เวียดนามเผยโครงการใหม่ด้วยเงินทุนจดทะเบียน FDI เพิ่มขึ้น 45% ในช่วงไตรมาสแรก

จากรายงานของหน่วยงานการลงทุนในต่างประเทศ ภายใต้กระทรวงวางแผนและการลงทุน (MPI) เปิดเผยว่าเวียดนามได้รับใบอนุญาตการลงทุนในโครงการใหม่ 758 โครงการ ด้วยเงินทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยโครงการที่ปรับเพิ่มเงินทุนมีอยู่มากกว่า 230 โครงการ มูลค่า 1.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. ในขณะที่ มูลค่าซื้อหุ้นจากต่างประเทศอยู่ที่ราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและโครงการลงทุนจากต่างชาติมีการเบิกจ่ายเงินทุนประมาณ 3.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 6.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับสาขาธุรกิจ พบว่านักลงทุนต่างชาติอัดฉีดเงินทุนใน 18 ภาคธุรกิจ โดยส่วนใหญ่ลงทุนในภาคการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ด้วยมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 47.5 ของเงินทุนทั้งหมด รองลงมาภาคการผลิตและแปรรูป ตามด้วยภาคการค้าปลีกค้าส่ง นอกจากนี้ สิงคโปร์เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด รองมาเป็นญี่ปุ่นและจีน อีกทั้ง บากเลียว (Bac Lieu) เป็นจังหวัดที่ดึงดูดจากนักลงทุนต่างชาติมากที่สุด รองลงมานครโฮจิมินห์ ตามมาด้วยฮานอยและบ่าเสียะ-หวุงเต่า ตามลำดับ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/newly-registered-fdi-rises-by-nearly-45-percent-in-q1/170684.vnp

เวียดนามส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์พุ่งสูงขึ้นไปยังสหรัฐฯ ในช่วง 2 เดือนแรก

จากรายงานของกรมศุลกากร เผยว่าเวียดนามส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปยังสหรัฐฯ ด้วยปริมาณอยู่ที่ 17,900 ตัน คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ 126.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21, 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยราคาส่งออกเฉลี่ยของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในช่วง 2 เดือนแรก อยู่ที่ 7,046 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับตลาดสหรัฐฯ เนเธอแลนด์และจีนยังคงเป็นตลาดส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ทั้งนี้ สมาคมเม็ดม่วงหิมพานต์เวียดนาม ระบุว่าอุตสาหกรรมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ของเวียดนาม คาดว่าจะได้รับความลำบากในการส่งออกช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสินค้าล้นตลาด ซึ่งการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว มีความเสี่ยงหลายประการด้วยกันและเกิดความผันผวนของตลาดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ทางหน่วยงานแนะนำให้ผู้ประกอบการประเมินอย่างรอบด้านก่อนที่จะทำสัญญาซื้อเม็ดมะม่วงหิมพานต์(ดิบ) โดยไม่มีทางออก และควรติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แผนการผลิตเป็นไปอย่างเหมาะสมและตั้งเป้าแผนธุรกิจในปีนี้ รวมถึงแนะนำให้อุตสาหกรรมในประเทศพัฒนาคุณภาพต่อเนื่องและค่อยปรับปรุง/ซ่อมแซ่มเครื่องจักร อุปกรณ์ เป็นต้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/654034/viet-nams-cashew-exports-to-us-up-in-two-months.html

“นักลงทุนต่างชาติ” เข้าไปลงทุน 8.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเวียดนาม ช่วงไตรมาสแรก

จากรายงานของหน่วยงานการลงทุนในต่างประเทศ (FIA) เปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 มี.ค. นักลงทุนต่างชาติได้เข้าไปลงทุนด้วยมูลค่า 8.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 79.1 ของช่วยเดียวกันปีที่แล้ว โดยมีโครงการใหม่ที่ได้รับอนุญาตการลงทุน 758 โครงการ มูลค่าการลงทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือเทไปยังโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน ด้วยมูลค่า 1.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และซื้อหุ้นราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้ง ในชวันที่ 20 มี.ค. เวียดนามมีเงินทุนจดทะเบียนรวม 370 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวนการลงทุน 31,665 โครงการ และโครงการที่มาจาก FDI มีมูลค่า 215.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 58.3 ชองเงินทุนจดทะเบียนรวม ทั้งนี้ เกาหลีใต้ยังคงเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ด้วยจำนวนลงทุน 8,702 โครงการ และมีมูลค่าเงินทุนจดทะเบียนสะสมรวม 68.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้น ขณะที่ โฮจิมินห์, ฮานอย, บิ่ญเซือง, ด่งนายและหวุงเต่า ล้วนเป็นจุดมุ่งหมายชั้นนำในการลงทุนจากต่างชาติ นอกจากนี้ การคาดการณ์ของกระทรวงวางแผนและการลงทุน มองว่าในปี 2563 เวียดนามจะดึงดูดเม็ดเงินทุนจากต่างชาติ 38.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ยังคงดำเนินจนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ และมูลค่า 38.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไวรัสดังกล่าวดำเนินไปจนถึงสิ้นไตรมาสที่สอง ซึ่งเทียบกับปี 2562 ที่มีมูลค่า FDI อยู่ที่ 38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ เวียดนามตั้งเป้าดึงดูดเม็ดเงินทุนจากต่างชาติในปี 2563 อยู่ที่ 39.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อระงับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/654053/foreign-investors-pour-855b-in-vn-in-q1.html