ธุรกิจไทยเข้าเจรจาซื้อโซลาร์ฟาร์มในเวียดนาม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภคและพลังงานชั้นนำในประเทศไทย เปิดเผยว่าบริษัทกำลังติดต่อผู้ประกอบการโซลาร์ฟาร์ม เพื่อเจรจาข้อตกลงซื้อโซลาร์ฟาร์มที่มีขนาดกำลังการผลิต 50-250 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ธุรกิจแห่งนี้ได้ให้ความสำคัญกับแหล่งน้ำ โดยทางบริษัทกำลังวางแผนในระยะที่ 2 ของการพัฒนาแหล่งน้ำประปาในเมืองฮานอยและเกื๋อหล่อ การดำเนินงานดังกล่าว บริษัทไทยได้ทำการเข้าซื้อสินทรัพย์เมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็กำลังอยู่ในช่วงเจรจากับนักลงทุนเวียดนาม เพื่อเข้าซื้อโซลาร์ฟาร์ม ด้วยมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท หรือ 32 ล้านดอลลาร์ล้านบาท หรือ 32 ล้านดอลลาร่า 1 เพื่อเข้ากงาน บริการได้รับผลกระทบอย่างมาก ด้วยสหรัฐ และคาดว่าสรุปข้อตกลงในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ สำหรับโซลาร์ฟาร์มอย่างน้อย 2 แห่งที่มีกำลังการผลิตรวม 50-100 เมกะวัตต์ โดยมีงบประมาณอยู่ที่ 1-2 พันล้านบาท

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/thailand-company-in-talks-to-purchase-vietnamese-solar-farms-24932.html

มูลค่าการค้าระหว่างกัมพูชากับไทยอยู่ที่ 5.07 พันล้านดอลลาร์

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 5,073 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมกัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่าราว 913 ล้านดอลลาร์ ไปยังประเทศไทยลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปีถึงร้อยละ 40 ตามตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ไทย ในขณะเดียวกันกัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทยสูงถึง 4,161 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยในปีที่แล้วการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.28 คิดเป็น 9,418 ล้านดอลลาร์ ซึ่งกัมพูชาส่งออกไปยังไทย 2,272 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 195

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50770207/cambodia-thailand-trade-breech-5-07-billion-in-first-eight-months-registering-a-16-percent-decrease/

กัมพูชามองหาการลงทุนจากไทยเพิ่มขึ้น

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาขอให้ไทยช่วยผลักดันการลงทุนของไทยในกัมพูชามากขึ้น โดยปีนี้ครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งมีการค้าทวิภาคีที่แข็งแกร่งแม้จะอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 โดยกัมพูชาได้เสนอไทยให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งการค้าข้ามพรมแดน เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างประเทศให้มากขึ้น ทั้งรัฐมนตรีจากทั้งสองแสดงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพอันยาวนาน ซึ่งหลังจากการพูดคุยระหว่างรัฐมนตรีทั้งสองประเทศทางกัมพูชายังขอให้ไทยอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาที่ถือบัตรผ่านแดนและแรงงานภายใต้ MoU กลับเข้าทำงานภายในไทยได้ตามปกติ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50769628/cambodia-seeks-more-thai-investments/

ดึงเอกชนช่วยปั๊มยอดคนไทยเที่ยว 5 แสนล.

ททท.จัดทำโครงการ เวิร์กเคชั่น ไทยแลนด์ ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ ดึงเอกชนซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวในประเทศ หวังสร้างรายได้ท่องเที่ยว 5 แสนล้านบาท ไทยเที่ยวไทยแตะ 100 ล้านคน-ครั้ง นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้จัดทำโครงการ เวิร์กเคชั่น ไทยแลนด์ ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ผ่านกลุ่มคนที่ยังมีกำลังซื้อ ออกเดินทางท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมในประเทศ เพื่อให้ธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว เบื้องต้นมีบริษัทเข้าร่วมโครงการผ่านการซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวในประเทศแล้วกว่า 84 ราย แบ่งเป็นทั้งหน่วยงาน องค์กร และบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ทั้งนี้ได้เชิญชวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ องค์กร และหน่วยงาน เดินทางท่องเที่ยวผ่านเส้นทางการท่องเที่ยว 5 ประเภท ได้แก่ ทำงานแบบสุขกาย สุขใจ ได้ตอบแทนสังคมรักษาสิ่งแวดล้อม,ท่องเที่ยวไปกับความสนใจพิเศษที่เลือกได้เอง ควบคู่กับการทำงาน,สร้างทีมเวิร์กด้วยกิจกรรมท่องเที่ยวในชุมชน,พบปะหารือแบบพิเศษ และเสนอส่วนลดพิเศษ รวมทั้งแพ็กเกจทัวร์อีกจำนวนมาก เชื่อว่าโครงการนี้ จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศทั้งปีไม่ต่ำกว่า 80-100 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 400,000-500,000 ล้านบาท นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ททท.ยังได้หารือร่วมกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในการหารือถึงการปรับเงื่อนไขของเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อให้มีความน่าสนใจและกระตุ้นการท่องเที่ยวได้มากขึ้นด้วย.

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/799333

ก.พาณิชย์ลั่นไทยไม่ใช่ถังขยะโลก ฝ่าฝืนเจอคุก 10 ปีปรับ 5 เท่า

กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ 428 รายการ แสดงจุดยืน ไทยไม่ใช่ถังขยะโลก ห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งในประเทศ ผ่าผืนมีโทษคุก 10 ปี และปรับ 5 เท่า กรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2563 โดยห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 428 รายการ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 63 ที่ผ่านมา  นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่ภายในประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการใช้ทรัพยากรในประเทศอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังช่วยบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่อย่างถูกวิธีมากขึ้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการของเสียในประเทศ

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/799144

จีนเปิดทางด่วนสายที่ 2 เชื่อมสปป.ลาว

เมื่อวันพุธที่ผ่านมาจีนได้เปิดทางด่วนสายที่สองของประเทศที่เชื่อมต่อทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนานกับ                   สปป.ลาวทางด่วนมีความยาว 49 กม. ก่อนหน้านี้ทางด่วน Xiaomengyang-Mohan ซึ่งอยู่ในมณฑลยูนนานได้เชื่อมระหว่างสองประเทศที่ชายแดนด้านจีน ยูนนานเป็นมณฑลเดียวของจีนที่มีพรมแดนทางบกร่วมกับสปป.ลาว เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกล่าวว่าทางด่วนสายใหม่จะปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงในภูมิภาคและช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างจีนกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเฉพาะสปป.ลาวที่มีจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญมาโดยตลอด

ที่มา : http://en.people.cn/n3/2020/1001/c90000-9766298.html

กัมพูชาพร้อมเจรจาเพิ่มเติมด้านก๊าซกับไทย

กระทรวงการเหมืองแร่และพลังงานระบุว่าพร้อมที่จะกลับมาหารือกับไทยเกี่ยวกับผลประโยชน์ร่วมกันบนพื้นที่ทับซ้อน (OCA) ในอ่าวไทย โดยอธิบดีกระทรวงพลังงานกล่าวว่ากระทรวงกำลังรอคำตอบจากประเทศไทยเพื่อดำเนินการเจรจาต่อไปเนื่องจากพยายามเร่งกระบวนการให้ได้ข้อสรุปเร็วที่สุด ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานของกัมพูชาได้พบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของไทย ณ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานครั้งที่ 37 ที่กรุงเทพฯ โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหารือและหาข้อยุติในข้อพิพาท OCA ระหว่างกัมพูชาและไทยต่อไป ซึ่งสิทธิในการพัฒนา OCA 26,000 ตารางกิโลเมตร คาบเกี่ยวระหว่างกัมพูชาและพรมแดนของอ่าวไทยตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 โดยคาดว่า OCA จะมีน้ำมันและก๊าซมากถึง 500 ล้านบาร์เรล กล่าวโดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)

ที่มา : https://www.nationthailand.com/news/30395298

นายกฯ เตรียมประชุมเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ

นายกรัฐมนตรี นำนักลงทุนเข้าพื้นที่ EEC ติดตามความคืบหน้าเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมรับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง 1 ต.ค. 63 โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันที่ 1 ต.ค. นายกรัฐมนตรี พร้อมนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมถึงหน่วยงานร่วม จะเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดชลบุรี เพื่อติดตามความก้าวหน้าการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน EEC ในยุค New Normal ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีรับขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล ขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้นโยบาย PPP Fast Track ของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมระบบรางของไทย โดยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค (กลุ่มประเทศ CLMV) นักลงทุนไทยและต่างประเทศเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการลงทุน

ที่มา : https://tna.mcot.net/politics-551037

เศรษฐกิจไทยศักยภาพต่ำลง ซมพิษโควิด-19 ธปท.แนะรัฐปรับโครงสร้างทันที

ธปท.ชี้พิษโควิด-19 ทำเศรษฐกิจไทยศักยภาพต่ำลง การแข่งขันลด แต่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสวนทาง จี้รัฐปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจทันที ก่อน “ทุน” หมด พร้อมแนะหยุดมาตรการเบี้ยหัวแตก แจกเงินเหวี่ยงแห แต่เจาะกลุ่มที่จำเป็น นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการของ ธปท.ประจำปี 2563 ในหัวข้อ “ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง” ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มความรุนแรงของความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจ และสังคมไทย ความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งลดทอนความสามารถในการแข่งขัน มากขึ้น ส่งผลต่อศักยภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ดังนั้น ต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดผลได้จริง และต้องทำทันที เพื่อรองรับชีวิตวิถีใหม่ เพราะธุรกิจหลังโควิด-19 จะมีการแข่งขันสูงขึ้น นอกจากนี้ ต้องลดพึ่งพาภาคเศรษฐกิจใดภาคหนึ่งมากจนเกินไป จากปัจจุบัน ที่พึ่งพาการส่งออกมาก โดยต้องกระจายทรัพยากร และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง โดยรัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ บนรากฐาน 3 ด้าน คือ 1.คนไทยและธุรกิจไทยต้องมีผลิตภาพสูง มีความสามารถในการแข่งขัน 2.ต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดี รับมือสถานการณ์ต่างๆ ที่ผันผวน ซับซ้อนและคลุมเครือในอนาคต 3.การกระจายผลประโยชน์จากการเติบโตเศรษฐกิจ ต้องทั่วถึง ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น  อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการหลังจากนี้ควรทำภายใต้แนวคิด 3 ด้านคือ 1.การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ต้องสอดคล้องกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ด้านที่ 2 การปฏิรูปโครงสร้างจะไม่เกิดขึ้นได้จริง หากไม่สามารถย้ายทรัพยากรจากภาคเศรษฐกิจหนึ่งไปสู่อีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งได้ ดังนั้น รัฐต้องสนับสนุนการโยกย้ายทรัพยากรจากภาคเศรษฐกิจที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินไปยังภาคเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงกว่า ส่วนด้านที่ 3 ยกระดับชนบท โดยให้ท้องถิ่นเป็นเป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เพราะโควิดทำให้แรงงานย้ายกลับภูมิลำเนามากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งจะต้องทำให้แรงงานเหล่านี้ เปลี่ยนเป็นพลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจในต่างจังหวัด.

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/1940138

เวียดนาม, ไทยจะก้าวเป็นผู้ผลิตแล็ปท็อปชั้นนำของโลก

สำนักข่าวญี่ปุ่น Nikkei Asian Review ได้อ้างรายงานของ Market Intelligence & Consulting Institute (MIC) กล่าวว่าในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะผลิตแล็ปท็อปครึ่งหนึ่งของโลกในปี 2573 โดยคาดว่าเวียดนามและไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตสำคัญของภูมิภาค สำหรับบทความดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นในจีน ประกอบกับทั่วโลกต้องการที่จะลดการพึ่งพามากเกินไปในภูมิภาคเดียวและปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงก็ตกไปอยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ในปี 2562 ตลาด PC ทั่วโลกที่มีจำนวนอยู่ที่ 160 ล้านชิ้น ซึ่งกว่าร้อยละ 90 มาจากจีน และส่วนใหญ่จะผลิตสินค้าในไต้หวัน ในขณะที่ มีเพียงส่วนน้อยที่ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น ระบุว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้กระตุ้นให้เกิดการสื่อสารทางไกลและเรียนออนไลน์มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ความต้องการคอมพิวเตอร์ ‘Chromebook’ ก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

 ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnam-thailand-to-emerge-as-leading-laptop-producers-781897.vov