หวั่นโควิดรอบ 2 จำกัดขนส่งสินค้าข้ามเมียนมาเหลือ 6 คัน

นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) เปิดเผยถึงการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-เมียนมาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ปัจจุบันปริมาณการขนส่งสินค้าบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย จังหวัดเชียงรายลดลง เนื่องจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในเมียนมา ทำให้ไทยต้องยึดมาตรการด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ในขณะเดียวกัน ปริมาณการขนส่งสินค้าบริเวณด่านพรมแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีปริมาณการขนส่งสินค้าราว 1,000 เที่ยวต่อวัน แต่ปัจจุบันหลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ทางประเทศเมียนมามีการจำกัดปริมาณการเดินรถขนส่งสินค้าข้ามประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งสินค้าด่านดังกล่าวเหลือเพียง 6 คันต่อวัน ขณะเดียวกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนักในเมียนมา ทำให้ต้องควบคุมด้านความปลอดภัยในการเข้า-ออกประเทศ เพื่อลดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบ 2

ที่มา : https://www.thansettakij.com/content/450100

เล็งขยายลดภาษีน้ำมันเครื่องบินอีก6เดือน

สรรพสามิตเปิดทางลดภาษีน้ำมันเครื่องบินเหลือ 20 สตางค์ต่อลิตร อีก 6 เดือน กรณีการพิจารณาขยายเวลายกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินในประเทศให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจสายการบินโลวคอสต์ว่า ล่าสุดผู้บริหารสายการบินโลวคอสต์ได้เดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาข้อเสนอของผู้ประกอบการในการขยายเวลาการยกเว้นภาษีดังกล่าวออกไป จากที่จะครบกำหนดในสิ้นเดือนก.ย.2563 อย่างไรก็ดี กรมสรรพสามิตเห็นว่าหากการปรับลดภาษีจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม และมีส่วนช่วยกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวได้มากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ สำหรับการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่จะสิ้นสุดในเดือน ก.ย. 2563 ภาษีน้ำมันอยู่ที่ 20 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมลิตรละ 4.762 บาท

ที่มา: https://www.posttoday.com/economy/news/633556

เปิดเวทีรับฟังเอฟทีเอ ไทย-อียู 22ก.ย.นี้ เพิ่มโอกาสค้าขายสินค้าไทย

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู 22 ก.ย.นี้ หลัง “ไอเอฟดี” ศึกษาเสร็จแล้ว “อรมน” ชี้ปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการค้ากับประเทศที่มี FTA รวม 62.8% ถ้าได้อียูที่มีสัดส่วนการค้า 7.9% จะทำให้การค้าของไทยกับประเทศที่ทำ FTA เพิ่มเป็น 70.7% ยิ่งสร้างโอกาสค้าขาย แย้มผลศึกษา สินค้าไทยมีโอกาสส่งออกได้เพียบ แต่ก็ต้องเปิดตลาดให้อียูเพิ่ม จับตาหากเจรจา ต้องรับมือกับประเด็นใหม่ๆ ด้วย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้กำหนดจัดการสัมมนา “ไทยพร้อมหรือยังที่จะฟื้นการเจรจา FTA ไทย-EU?” ในวันที่ 22 ก.ย.2563 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่กรมฯ ได้มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) ดำเนินการเสร็จแล้ว โดยจะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ และแลกเปลี่ยนความเห็นต่อผลการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งระดมความเห็นเรื่องการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู ก่อนที่จะรวบรวมความคิดเห็นเสนอระดับนโยบายประกอบการพิจารณาตัดสินใจการดำเนินการของไทยในเรื่องนี้ต่อไป ทั้งนี้ ผลการศึกษาในเบื้องต้น พบว่า การทำ FTA กับอียูจะช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับสินค้าไทยได้เพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปอียู เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหารอื่น เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก แต่ในทางกลับกัน ไทยจะต้องเปิดตลาดให้อียู ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการไทยนำเข้าสินค้าบางชนิดจากอียูเพิ่มขึ้น เช่น นมและผลิตภัณฑ์นม เครื่องดื่ม เมล็ดพืชน้ำมัน และสินค้าเทคโนโลยี เป็นต้น ขณะเดียวกัน ยังพบว่า FTA ที่อียูทำกับสิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการหยิบยกประเด็นใหม่ๆ รวมไว้ในการจัดทำ FTA ด้วย เช่น การยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การเข้าเป็นภาคีความตกลงระหว่างประเทศ การยกระดับมาตรฐานแรงงาน และการปฏิบัติของรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทยต้องพิจารณาระดมความเห็นว่าไทยพร้อมที่จะเจรจากับอียูในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ อย่างไร เพราะจะมีผลต่อการนำไปสู่การปรับกฎเกณฑ์ทางการค้าของไทย.

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/796498

Beef Board ทบทวนยุทธศาสตร์ 20 ปี หวังปั้นไทยเป็นผู้นำการส่งออก

นส.พ.อภัย สุทธิสังฃ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยผลประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคเนื้อ-กระบือ และผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (Beef Board) ว่า ที่ประชุมได้ทบทวนข้อเสนอยุทธศาสตร์โคเนื้อ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในภาพรวมคือ การเป็นผู้นำการผลิตโคเนื้ออย่างมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยในระยะ 5 ปีแรก Beef Board ได้ทบทวนผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ 1 เป็นการรักษาตลาดการบริโภคโคเนื้อไทย ยุทธศาสตร์ที่ 2 เป็นการกระตุ้นการเพิ่มประชากรโคเนื้อไทย และยุทธ์ศาสตร์ที่ 3 เป็นการบริหารจัดการพืชอาหารสัตว์และอาหารสัตว์สำหรับโคเนื้อ โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการผลิตโคเนื้อที่เพียงพอต่อการบริโภคและส่งของในภูมิภาค ในระยะ 10 ปีประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิต การตลาดโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ในอาเซียน+3 ในระยะ 15 ปีประเทศไทยจะเป็นผู้นำการตลาดมูลค่าโคเนื้อด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และในระยะ 20 ปี ประเทศไทยจะเป็นผู้นำการส่งออกอาหารและผลิตภัณฑ์เนื้อโคในตลาดโลก ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรที่เลี้ยงโคเนื้อกว่า 909,324 ราย ซึ่งมีโคเนื้อทั้งหมดกว่า 6,230,140 ตัว โดยประมาณการผลผลิตโคเนื้อในปี 2563 คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2562 กว่า 1.224 ล้านตัว เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/iq03/3159845

ตลาดนัด SME ยอดซื้อขายทะลุ 30 ล้านบาท

กระทรวงอุตสาหกรรม เผยผลการจัดงาน ตลาดนัด SME “เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน” สร้างยอดขายกว่า 30 ล้านบาท เพิ่มโอกาส สร้างรายได้พร้อมต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่าตลาดนัด SME เราช่วยไทย ไทยช่วยกัน  ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมในช่วงวันที่ 4 – 6 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา มีประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 4 หมื่นคน โดยจากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ผู้ประกอบการกว่า 600 ราย ที่นำสินค้าและบริการมาจำหน่าย สามารถทำยอดขายโดยรวมมากกว่า 30 ล้านบาท โดยเฉพาะในหมวดของอาหาร เกษตรแปรรูป สินค้าแฟชั่นจำพวกสิ่งทอ เสื้อผ้า รวมถึงบริการท่องเที่ยว คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของยอดขายทั้งหมดในงาน นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับสูงมากถึง 86% โดยเฉพาะในด้านคุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่นำเสนอในงาน ซึ่งตลอดทั้ง 3 วัน ได้มีกิจกรรมที่เน้นเพิ่มความรู้ด้านการตลาดในยุค New Normal การปรับตัวของธุรกิจและกรณีศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก “แม้ว่าตลาดนัด SME จะเป็นงานในระดับเล็ก แต่สิ่งสำคัญคือการที่ประชาชนได้ออกมาจับจ่ายใช้สอย อุดหนุนสินค้าและบริการของไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และการเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการที่นำสินค้าและบริการมาเสนอในงาน โดย SME และวิสาหกิจชุมชนต้องเรียนรู้ความต้องการผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย และทำการปรับปรุงคุณภาพ มาตรฐาน รวมถึงรูปแบบสินค้าใหม่ ๆ ให้เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังคงเร่งให้ความช่วยเหลือสนับสนุน SME และวิสาหกิจชุมชนในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้าถึงแหล่งทุน และตลาดทั้งในรูปแบบ Offline และ Online ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”

ที่มา: https://bit.ly/35B7FOJ

ทูตพาณิชย์ จีบนักค้าเพชรพลอย ร่วมงานบางกอกเจมส์ปีหน้า

“ทูตพาณิชย์ดูไบ” เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากกลุ่มตะวันออกกลาง ร่วมซื้อและเจรจาธุรกิจสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในงาน BGJF Special Online Edition เดือนพ.ย.นี้ และจีบเข้าร่วมงานบางกอกเจมส์ที่เลื่อนไปจัดก.พ.64 ด้วย มั่นใจดันสินค้าไทยขยายตลาดได้เพิ่มขึ้น ด้านนักธุรกิจชาวอาหรับ ยันสินค้าไทยมีคุณภาพ มาตรฐาน พร้อมร่วมมือค้าขาย นายปณต บุณยะโหตระ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ นิว จิวเวลเลอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย กรุ๊ป และ ดูไบ โกลด์ แอนด์ จิวเวลรี่ กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่มีความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย จัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “การค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างประเทศไทยและภูมิภาคตะวันออกกลาง : การเสริมสร้างความเข้มแข็งระหว่างกัน” โดยได้ใช้โอกาสนี้ เชิญชวนให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า และนักธุรกิจในกลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) เข้าร่วมชมงานและเจรจาธุรกิจในงาน BGJF Special Edition – On Ground to Online Exhibition” ระหว่างวันที่ 2–4 พ.ย.2563 เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำการค้าระหว่างกันในรูปแบบ New Normal ซึ่งได้รับการตอบจากเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าจะสร้างโอกาสในการส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทยได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังได้เชิญชวนให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า เตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 66 ที่เลื่อนการจัดไปเป็นวันที่ 23-27 ก.พ.2564 ด้วย สำหรับตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นตลาดสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 43% ของมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ทั้งหมดไปประเทศกลุ่ม MENA นายเมฮรัน มหาลาตี ประธานกรรมการบริษัท มหาลาตี จิวเวลรี่ กล่าวว่า ปัจจุบันแม้จะมีตลาดอัญมณีและเครื่องประดับเกิดใหม่มากมาย เช่น เวียดนามและจีน แต่การทำธุรกิจกับไทยมีความง่าย และเมื่อเทียบฝีมือและคุณภาพของชิ้นงานแล้ว ไม่มีที่ไหนเอาชนะไทยได้ โดยยืนยันที่จะทำธุรกิจกับไทยต่อไป น.ส.มหา อัล ซีไบ นักออกแบบและผู้ก่อตั้งบริษัท มหา อัล ซีไบ จิวเวลรี่ กล่าวว่า ไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญของโลกได้ เพราะฝีมือการดีไซน์ งานหัตถศิลป์ และคุณภาพของสินค้าไทย เป็นที่ยอมรับระดับโลกมาเสมอ โดยขอแนะนำว่าควรมีแพลตฟอร์มให้นักออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับของไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สามารถพบปะและและเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ และยังมีแผนที่จะเปิดฐานการผลิตในไทยด้วย

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/795118

คลังสวนแวต 9% ทำของแพง-เศรษฐกิจเจ๊งหนักกว่าเดิม

คลังแจงขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 9% ชี้ทำของแพง ซ้ำเติมชาวบ้าน เศรษฐกิจเจ๊งหนักกว่าเดิม พร้อมการันตีฐานะคลังไทยแกร่ง ถังไม่แตก นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีนายสมหมาย ภาษี อดีต รมว.คลัง เสนอให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 9% เพื่อดูแลเศรษฐกิจว่า การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจะต้องพิจารณาอย่างเหมาะสม เพราะหากขึ้นไปแล้วจะทำให้สินค้าและบริการแพงขึ้น อำนาจการซื้อประชาชนลดลง และซ้ำเติมประชาชนในยุคไวรัสโควิดเพิ่มอีก โดยประเมินว่าหากขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 9% จะทำให้เศรษฐกิจหดตัวยิ่งกว่าเดิม จีดีพีจะลดลงอย่างน้อย 0.6% ต่อปี  พร้อมทั้งขอยืนยันว่า กระทรวงการคลังมีเงินคงคลังที่เข้มแข็ง และเพียงพอต่อการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐ รวมถึงใช้ดูแลฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศจากโควิด ตลอดจนยังสามารถบริหารจัดการหนี้ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐได้ ทั้งนี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ครม.มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% ต่อไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 30 ก.ย.64 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นให้มีการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/794224

ส่งออกข้าวโพดไปไทยหยุดชะงัก

ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 63 เมียนมาหยุดการส่งออกข้าวโพดจากชายแดนเมียวดี  เมียนมาส่งออกข้าวโพดไปไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 63 โดยได้รับการยกเว้นภาษีเป็นไปตามข้อกำหนดข้าวโพดของไทย แต่เวลานี้ตรงกับเวลาที่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดในไทย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรไทยจึงเพิ่มภาษีการส่งออกข้าวโพดของเมียนมา

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/corn-export-to-thailand-halts

‘โควิด’ ฉุดธุรกิจลดจ้างงาน 75%

ถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงภาคแรงงาน การจ้างงานที่มีดีมานด์ลดลงอย่างมาก จากการวิเคราะห์ของ “จ๊อบไทย” (JobThai) ผู้ให้บริการหางานสมัครงานออนไลน์ ระบุว่า องค์กรมีความต้องการแรงงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 รวมกันอยู่ที่ 303,776 อัตรา โดย ก.พ.เปิดรับสูงสุด 124,629 อัตรา แต่ในช่วง มี.ค.-เม.ย. การจ้างงานลดลง 16.5% ซึ่งเป็นช่วงที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้นและกระจายวงกว้างมากขึ้น เมื่อวิเคราะห์ลงในรายละเอียด พบว่า ประเภทธุรกิจมีความต้องการแรงงานมากที่สุด คือ “อาหาร-เครื่องดื่ม” เนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายในหมวดสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ตรงข้ามกับ “ธุรกิจท่องเที่ยว” ที่มีความต้องการแรงงานน้อยที่สุด ผลจากการที่ภาคการท่องเที่ยวหดตัวรุนแรง หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยที่ประกาศใช้มาตรการจํากัดการเดินทางระหว่างประเทศและมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติในไทยลดลง จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจกลุ่มนี้ ซึ่งต่อเนื่องถึงธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท สปาและสนามกอล์ฟ สำหรับทิศทางของตลาดแรงงานจากนี้ไป คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อดูสถิติช่วงต้นเดือน ก.ค. พบว่าสายอาชีพที่มีแนวโน้มเปิดรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฟรีแลนซ์ อาจารย์-ครูและกลุ่มบุคลากรด้านสุขภาพ ได้แก่ แพทย์ เภสัชกรและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/896714?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral

พาณิชย์จับมือผู้ส่งออกข้าวถก BERNAS ดันข้าว กข79 บุกตลาดมาเลเซีย

กรมการค้าต่างประเทศ ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยหารือหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าวของรัฐบาลมาเลเซีย (BERNAS) กระชับความสัมพันธ์ทางการค้า เปิดตัวข้าวขาวพื้นนุ่ม กข 79 หวังเรียกคืนส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในมาเลเซีย นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 กรมการค้าต่างประเทศได้ประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าวของมาเลเซีย (Padiberas Nasional Berhad : BERNAS) เพื่อกระชับความสัมพันธ์และหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การผลิตและการค้าข้าวในปี 2563 การประชุมในครั้งนี้ BERNAS แจ้งว่าภายในปี 2563 คาดการณ์ว่าอาจนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านตัน จากปกตินำเข้าประมาณ 8 แสนตัน เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มาเลเซียหันไปนำเข้าข้าวจากประเทศคู่แข่งของไทยมากขึ้น แม้ว่าคุณภาพจะด้อยกว่าข้าวไทย แต่ด้วยราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง โดยปัจจุบันมาเลเซียนำเข้าข้าวจากจากเวียดนาม ปากีสถาน เมียนมา ไทย และอินเดีย ตามลำดับ นอกจากนี้ กรมฯ ได้แจ้งให้ BERNAS ทราบว่าไทยอยู่ระหว่างการจัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563 – 2567 โดยไทยจะเน้นหลักการ “การตลาดนำการผลิต” เพื่อให้ไทยมีสินค้าข้าวที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น ทั้งนี้ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้นำเสนอข้าว กข 79 ซึ่งเป็นข้าวขาวสายพันธุ์ใหม่ของไทย ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การค้าข้าวในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยฝ่ายมาเลเซียแจ้งว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของโรคฯ ผู้บริโภคในมาเลเซียมีการซื้อข้าวเพิ่มขึ้นแต่เป็นข้าวที่มีราคาต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงภาวะ Panic Buying ของผู้บริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ภาวการณ์ดังกล่าวได้กลับเป็นปกติแล้วตั้งแต่ช่วงมิถุนายนที่ผ่านมา โดยในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีการหารือผ่านระบบ Video Conference กับสมาคมผู้นำเข้าข้าวของฮ่องกง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับการส่งออกข้าวไทยตั้งแต่เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2563 ส่งออกข้าวไปแล้ว ปริมาณ 3.30 ล้านตัน มูลค่า 69,469 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่งออกไปมาเลเซีย ปริมาณ 66,007 ตัน มูลค่า 990 ล้านบาท

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-515295