‘เวียดนาม’ เปิดตัวแพ็คเกจสินเชื่อ 19.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม นายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้กล่าวปราศรัยในงาน “Smart digital ecosystem in the new era” จัดขึ้นในกรุงฮานอย โดยนายกฯ เสนอให้ภาคส่วนต่างๆ ขยายเงินทุน เสนอให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และกล่าวว่าธนาคารพาณิชย์ 21 แห่ง พร้อมที่จะจัดทำแพ็คเกจสินเชื่อ มูลค่ากว่า 500 ล้านล้านดอง หรือประมาณ 19.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่จะช่วยภาคธุรกิจที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเรียกร้องให้มีการจัดทำกรอบกฎหมาย และนโยบาย โดยเน้นที่ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และการเข้าถึงดิจิทัล

ที่มา : https://en.vneconomy.vn/banks-ready-to-roll-out-19-15bln-credit-package-for-technology-firms.htm

‘คลัง’ จี้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย หลังกำลังซื้อร่วง ฉุดจัดเก็บรายได้รัฐ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาล สุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.2566-ม.ค.2567) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 824,115 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,836 ล้านบาท และเป็นการจัดเก็บรายได้ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ผลการจัดเก็บบรายได้ของภาครัฐที่ต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นสัญญาณที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในสภาวะชะลอตัว โดยส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการซื้อที่ลดลง เนื่องจากการดำเนินนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อรถยนต์ และที่อยู่อาศัย ที่แม้จะยังมีดีมานด์อยู่แต่ประชาชนขาดความสามารถในการผ่อนชำระ เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงจึงทำให้ยอดผ่อนชำระสูงขึ้นด้วย ยอดโอนรถยนต์หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงจึงทำให้การจัดเก็บภาษีซึ่งเป็นรายได้ของรัฐบาลลงตามไปด้วย ทั้งนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยในวันนี้อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจในทันที แต่อาจต้องใช้เวลามากกว่า 6 เดือน จึงไม่กังวลประเด็นที่ว่าจะกระทบกับอัตราเงินเฟ้อในประเทศ รวมทั้งประเด็นที่ว่าจะทำให้เงินไหลออกนอกประเทศ เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของไทยก็มีความต่างจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐมากอยู่แล้วหากธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาระดับหนึ่งก็จะไม่กระทบกับอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงส่วนหนึ่งเป็นการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงโดยกรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากมีการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ขณะที่หน่วยงานที่จัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ เนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งมีการนำส่งรายได้เหลื่อมมาจากปีก่อนหน้า และกรมสรรพากร โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ หากไม่รวมรายได้พิเศษรวม 36,666 ล้านบาท จากฐานการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รัฐบาลสุทธิจะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.7%

ที่มาภาพ : ประชาชาติธุรกิจ

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1118713

‘แบงก์ชาติเมียนมา’ เล็งปรับดอกเบี้ย หวังพยุงเศรษฐกิจ

ดร.ติน ลิน ออง รองผู้ว่าการธนาคารกลางเมียนมา (CBM) กล่าวที่ในประชุมสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ครั้งที่ 22 ว่าธนาคารกลางจะปรับอัตราดอกเบี้ย เพื่อจัดการภาวะเศรษฐกิจมหภาค ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา เตรียมการรับมืออัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 โดยดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลมาจากค่าเงินจั๊ตที่อ่อนค่าลงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รวมไปถึงการนำเข้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้าขยายไปวงกว้างขึ้น ด้วยเหตุนี้ แนวโน้มของการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลในเชิงลบต่อเศรษฐกิจของประเทศ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/cbm-to-adjust-interest-rate-on-macroeconomics/#article-title

NPLs ภายในกัมพูชายังคงสามารถจัดการได้ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

ธนาคารและสถาบันการเงินรายย่อย (MFIs) ในประเทศกัมพูชา ยังคงรับมือกับสถานการณ์หนี้เสีย (NPLs) ภายในประเทศได้ ตามรายงานของ NBC ภายใต้สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ในอุตสาหกรรมธนาคารและการเงินรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.1 และร้อยละ 2.5 ในปี 2022 จากร้อยละ 2 และ 2.4 ตามลำดับในปีที่แล้ว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารทั้งในแบบสกุลเงินเรียลและดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12.2 และร้อยละ 10 ต่อปี ในปี 2022 จากร้อยละ 11.4 และร้อยละ 9.7 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั้งในสกุลเงินเรียลและดอลลาร์ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันเป็นร้อยละ 6.8 และ 5.4 จากร้อยละ 6.2 และ 4.7 ตามลำดับ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501298784/cambodias-npls-manageable-amid-rising-interest-rates/

“ผู้ออกกฎหมายเวียดนาม” เรียกร้องให้ลดดอกเบี้ย หนุนศก.เติบโต

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่าผู้ออกกฎหมาย หรือสมาชิกสภานิติบัญญัติของเวียดนาม มีการเรียกร้องให้ธนาคารกลางพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อพยุงเศรษฐกิจและช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในช่วงปลายปี 2565 ชะลอตัวจาก 5.92% ลงมาอยู่ที่ 3.32% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่งผลให้ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นจำนวน 2 ครั้งในปีนี้ โดยเวียดนามตั้งเป้าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ 6.5% ในปี 2566 อย่างไรก็ดี เวียดนามยังคงเผชิญกับความท้าทายหรืออุปสรรคอีกหลายประการที่จะกดดันเศรษฐกิจและเป้าหมายของการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้

ที่มา : https://www.reuters.com/markets/asia/vietnam-lawmakers-call-further-rate-cut-prop-up-growth-2023-05-09/

NBC กำหนดนโยบายทางการเงิน หวังลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ในระบบ

ภาคธนาคารถือเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกัมพูชา จากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 โดยธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายและรอบคอบเพื่อตอบสนองความต้องการของระบบเศรษฐกิจ ซึ่ง NBC ยังได้พยายามเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่าน เพื่อที่จะลดระดับความสำคัญของสกุลเงินดอลลาร์ในระบบเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมการใช้สกุลเงินเรียล (KHR) ที่เป็นสกุลเงินท้องถิ่น หลังจากการทบทวนเสถียรภาพทางการเงินปี 2021 ของ NBC ซึ่งปัจจุบันระบบเศรษฐกิจของกัมพูชามีการใช้เงินดอลลาร์มากกว่าร้อยละ 80 จนส่งผลทำให้เกิดข้อจำกัดต่อบทบาทของ NBC ในการควบคุมปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ ขณะที่ปัจจุบัน NBC ได้กำหนดกฎระเบียบที่มุ่งส่งเสริมทางด้านสินเชื่อโดยอ้างอิงสกุลเงินเรียล เพื่อผลักดันการใช้สกุลเงินท้องถิ่น ด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศปล่อยสินเชื่อด้วยสกุลเงินเรียลอย่างน้อยร้อยละ 10 ของการปล่อยสินเชื่อทั้งหมด

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501263299/riel-based-deposits-and-lending-help-nbcs-de-dollarisation-efforts-2/

ทุนสำรองเงินฯ ของเวียดนาม มูลค่าเติบโตสูงขึ้นในปี 2566

ตามรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ VNDirect Securities Corporation ระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้และปรับเพิ่มทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเวียดนาม ซึ่งจะช่วยลดค่าเงินดองของเวียดนาม ทั้งนี้ บริษัท VNDirect ยังคาดว่าบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลการค้า 0.4% ของ GDP ในปีนี้ จากที่คาดการณ์ว่าจะขาดดุล 1.3% ของ GDP ในปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเวียดนามจะฟื้นตัวสู่ระดับการนำเข้าได้มากกว่า 3 เดือน และแตะระดับ 102 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปีนี้ จากระดับปัจจุบันที่ 89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1451472/viet-nam-s-foreign-exchange-reserves-to-grow-this-year.html

“แบงก์ชาติเวียดนาม” คุมเข้มสภาพคล่อง

ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ทำการดึงปริมาณเงินออกจากในระบบ 57.6 ล้านล้านดองผ่านการดำเนินการในตลาดเปิด (OMO) และช่องทางในการขายเงินสกุลต่างประเทศ เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบของธนาคารให้อยู่ในระดับเหมาะสม หลังจากทำการลดปริมาณเงินแล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมระหว่างธนาคารในช่วงข้ามคืน (Overnight) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 40 จุด อยู่ที่ 4.9% และในส่วนของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงแบบ 1 สัปดาห์และ 1 เดือน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.2% และ 5.6% ตามลำดับ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่าธนาคารกลางจะรักษาสภาพคล่องของระบบธนาคารเวียดนามให้ไม่มากจนเกินไป เพื่อคงอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมระหว่างธนาคาร อยู่ที่ระดับ 5.0-5.5% ซึ่งเป็นระดับที่สมเหตุสมผลกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และจะลดแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยน

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1339007/central-bank-acts-to-tighten-dong-liquidity.html

ฉุดต้นทุนพุ่งธุรกิจทรุด! กกร.ห่วง “ค่าไฟ-ค่าแรง-ดอกเบี้ย” ขึ้น

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.กังวลใจเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าจาก 4 บาทต่อหน่วย เป็น 4.72 บาทต่อหน่วย ในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2565 เพราะจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนการประกอบการ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม จะมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 20-30% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด และภาคบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรมจะมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ของต้นทุนทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีต้นทุนด้านแรงงานจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ 8-22 บาทต่อวัน ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค.นี้ รวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่เป็นปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจ และการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเก็บเงิน สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งแต่เดือน ม.ค.66 ที่จะส่งผ่านไปยังดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้น ภายใต้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ กกร.ต้องติดตามภาวะของเศรษฐกิจโลกที่เผชิญความเสี่ยงจะชะลอตัวกว่าที่คาดอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังมองแนวโน้มดอกเบี้ยของไทย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ที่ระดับ 1.25% และมีโอกาสขยับขึ้นไปสู่ระดับ 1.5% ในช่วงเดือน มี.ค.66

ที่มา : https://www.thairath.co.th/business/economics/2494521

“เฟด” ขึ้นดอกเบี้ย แบงก์ชาติเวียดนามส่งสัญญาอัตราแลกเปลี่ยน

เมื่อตั้งแต่ต้นปี 2565 ตลาดการเงินระหว่างประเทศเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ตลอดจนราคาเชื้อเพลิง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก ในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลมาจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 28 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คุณ Pham Chi Quang รองผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารกลางเวียดนาม กล่าวว่าธนาคารกลางจะปฏิบัติตามนโยบายที่ยืดหยุ่น เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดโลกและลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนและดูแลเสียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้ง เมื่อต้นปี 2565 ธนาคารกลางได้ขายสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อแทรกแซงตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเพิ่มอุปทาน ในขณะเดียวกันก็รักษาสภาพคล่องของเงินดองเวียดนาม ซึ่งจะช่วยให้สกุลเงินดองมีเสถียรภาพ

 

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/us-fed-raises-interest-rates-sbv-gives-message-about-exchange-rate-2032548.html