ประชาชนสปป.ลาวกว่า 1 ล้านคน เผชิญปัญหาความไม่มั่งคงทางอาหาร

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และโครงการอาหารโลก (WFP) รายงานว่าประชาชนมากกว่า 1 ล้านคน ต้องทนทุกข์จากความไม่มั่งคงทางอาหารอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดความกังวลต่อวิกฤตความมั่งคงทางอาหารในสปป.ลาว โดยประชาชนกว่า 1.04 ล้านคน (13.9% ของประชากรทั้งประเทศ) ได้รับการประเมินว่ามีความไม่มั่งคงทางอาหารอย่างเฉียบพลันอยู่ในระดับปานกลาง และคนกว่า 71,000 คน (0.9% ของประชากร) อยู่ในภาวะไม่มั่งคงทางอาหารเฉียบพลันขั้นรุนแรง สาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าวมาจากราคาอาหารและเชื้อเพลิง ตลอดจนปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน กำลังซื้อและรายได้ครัวเรือนที่ลดลงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติในปี 2565

นอกจากนี้ สำนักงานสถิติประเทศลาว (LSB) ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงเพิ่มสูงขึ้น และพุ่งขึ้นสู่ระดับ 41.3% ในเดือน ก.พ. เมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้นจาก 40.3% ในเดือน ม.ค.

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten56_Over_1_y23.php

วิกฤติทางการเมืองในเมียนมาทำให้ประชากรอีก 3.4 ล้านคนต้องเผชิญกับ ‘ความหิวโหย’

โดยโครงการอาหารโลก (World Food Programme, WFP)

ตั้งแต่รัฐประหารในเมียนมาเมื่อกุมภาพันธ์ 2564 ยิ่งทำให้ประเด็น ‘ความไม่มั่นคงทางอาหาร’ ของประเทศที่มีแต่เดิมรุนแรงขึ้น ประมาณว่าอีก 1.5 – 3.4 ล้านคนในเมียนมาจะประสบกับความหิวโหย และ 3 ใน 4 ของประชาชนจะเปราะบางต่อ ‘ความยากจน’ โดยเฉพาะผู้คนในพื้นที่เขตเมืองซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และผลกระทบระยะยาวที่มีต่อระบบอาหารในพื้นที่ชนบท

เพราะวิกฤติทางการเมืองทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว การค้าขายติดขัด การลงทะเบียนเปิดธุรกิจน้อยลงกว่าปีก่อนหน้า ซึ่งทางธนาคารโลกคาดการณ์ว่า GDP ของเมียนมาร์อาจหดตัวถึง 10% ในปี 2564

นอกจากนี้ วิกฤติทางการเมืองทำให้การดำเนินการภาครัฐ 90% ต้องพักลงชั่วคราว การให้บริการสาธารณสุข สถาบันการศึกษา และโรงงานในย่างกุ้งกว่า 13 แห่ง (มีนาคม 2564) ต้องปิดตัวลง ผู้คนสูญเสียงานและรายได้ขณะที่ราคาข้าวและน้ำมันทำอาหารสูงขึ้น 5% และ 18% ตามลำดับ และสูงมากในบริเวณชายแดนในรัฐยะไข่ คะฉิ่น และฉิ่น ทั้งค่าใช้จ่ายในภาคขนส่งที่แพงขึ้น และธนาคารพาณิชย์ประมาณ 2,000 แห่งทำงานไม่ได้ตามปกติ การชำระเงินระหว่างประเทศ การถอนเงิน การโอนเงินระหว่างธนาคาร รวมถึงการส่งเงินกลับบ้านของชาวเมียนมามากกว่า 4 ล้านคนจากต่างประเทศซึ่งเป็นรายได้หนึ่งแหล่งที่สำคัญ ต้องประสบปัญหา – เหล่านี้เป็นสัญญาณสำคัญต่อประเด็นความยากจน และความหิวโหยในเมียนมา

เมียนมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำที่เศรษฐกิจพึ่งพิงอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อัญมณี เป็นต้น โดยที่ภาคบริการคิดเป็น 42% ของ GDP ภาคอุตสาหกรรมคิดเป็น 36% และภาคเกษตรกรรมคิดเป็น 22% ขณะที่ด้านการค้าขายส่วนมากค้าขายภายในภูมิภาคโดยมีจีนเป็นหุ้นส่วนหลักที่ส่งออก 31% และนำเข้า 34% ตามมาด้วยประเทศไทยและสิงคโปร์ ส่วนในด้านการลงทุนมีสิงคโปร์ลงทุน 34% และฮ่องกง 26%

อย่างไรก็ดี ในภาวะปกติจนถึงมกราคม 2564 ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารในเมียนมามาจาก – ความเปราะบางต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างชุมชน และผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจ

เช่นการศึกษาของ Fill the Nutrient Gap ในปี 2562 ระบุว่าอาหารที่มีโภชนาการและดีต่อสุขภาพยังคงมีราคาสูงจนคนเมียนมาไม่สามารถเข้าถึงได้ 9 ใน 10 ของครัวเรือนสามารถเข้าถึงอาหารที่ให้พลังงาน 4 ใน 10 สามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

ขณะที่หลังจากวิกฤติทางการเมือง WFP ประเมินว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความไม่มั่นคงทางอาหารมาจาก ‘การสูญเสียรายได้และสูญเสียงานของครัวเรือน จากเหตุการณ์ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยตั้งฉากทัศน์ไว้ที่ 3 เดือนและ 6 เดือนหลังจากเดือนมีนาคม 2564 โดยเฉพาะว่าในกลางเดือนมีนาคมจะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าวบริเวณปากน้ำอิรวดี และเตรียมดินเพื่อทำนาในช่วงพฤษภาคม – มิถุนายน

ทว่าด้วยสถานการณ์ของเมียนมาในตอนนี้ซึ่งกระทบกับภาคการเกษตร แรงงาน และการคมนาคมขนส่ง ย่อมส่งผลทำให้อาจไม่สามารถปลูก-เก็บเกี่ยวพืชผลได้ ทั้งที่จะเป็นอาหารเลี้ยงปากท้องของคนเมียนมาเอง

ที่มา :

/1 https://www.sdgmove.com/2021/06/04/myanmar-after-takeover-face-food-insecurity/

/2 https://www.wfp.org/publications/myanmar-analysis-economic-fallout-and-food-insecurity-wake-takeover-2021

โครงการอาหารโลก (WFP) ส่งมอบอุปกรณ์เทคโนโลยีส่งเสริมการศึกษาและโภชนาการ

โครงการอาหารโลก (WFP) ได้จัดหาอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อสนับสนุนโครงการอาหารของโรงเรียนเพื่อให้มั่นใจในความยั่งยืนและเสริมสร้างด้านอาหารในในโรงเรียนท้องถิ่นโดยพิธีส่งมอบอุปกรณ์ได้จัดขึ้นที่เวียงจันทน์ โครงการอาหารโลกได้ดำเนินโครงการโดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและการกีฬาให้ส่งเสริมอาหารที่ดีแก่เด็กก่อนวัยเรียนและประถมศึกษาเพื่อส่งเสริมโภชนาการในชนบทนอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้สนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาและส่งเสริมสุขภาพในพื้นที่ห่างไกล โดย WFP ได้มอบโครงการในโรงเรียนกว่า 500 แห่งเกิดความยั่งยืนและพื้นฐานด้านการศึกษาที่มั่นคงเป้าหมายในอนาคตของ WFP คือส่งมอบโครงการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนกว่า 900 แห่งในปี 2564ในอนาคตสปป.ลาวจะมีความมั่นคงทางด้านโภชนาการมากขึ้นและระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นรากฐานที่ดีในการเติบโตด้านเศรษฐกิจ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Tech.php