ระบบลงทะเบียนธุรกิจออนไลน์ของกัมพูชาได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี

ระบบ Single Portal หรือระบบลงทะเบียนธุรกิจออนไลน์ ดำเนินการโดยกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง (MEF) ของกัมพูชา ซึ่งกระทรวงได้รายงานถึงปริมาณการลงทะเบียนธุรกิจ (OBR) ที่มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 3.76 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 69 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในปีที่แล้วมีการลงทะเบียนธุรกิจผ่านระบบ Single Portal จำนวนทั้งสิ้น 23,454 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 467 เมื่อเทียบกับจำนวน 4,139 แห่ง ที่ลงทะเบียนในปี 2022 สำหรับมูลค่าการลงทุนตามประเภทธุรกิจ พบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการที่พักอาศัยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 21.46 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด รองลงมาคือ ธุรกิจที่ปรึกษาบริหารจัดการที่ร้อยละ 7.58 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 7.55 ธุรกิจผลิตยางพาราร้อยละ 7.20 ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปร้อยละ 6.01 และธุรกิจอื่นๆ ร้อยละ 50.20

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501462968/single-portal-registers-3-76-billion-investments/

DCTS ดันส่งออกกัมพูชาไปยังสหภาราชอาณาจักรโตกว่า 25%

กัมพูชาส่งออกไปยังสหราชอาณาจักร (UK) เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 25.1 คิดเป็นมูลค่ากว่า 136 ล้านดอลลาร์ สำหรับในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากโครงการ Developing Countries Trading Scheme (DCTS) ฉบับใหม่ของสหราชอาณาจักร ซึ่งอนุญาตให้ส่งออกสินค้าปลอดภาษีสำหรับสินค้าเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 99 ของสินค้าทั้งหมด) โดยเฉพาะสินค้าส่งออกสำคัญของกัมพูชาอย่างสินค้าสิ่งทอ สินค้าเพื่อการเดินทาง และสินค้าที่ทำจากเครื่องหนัง ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ Cambodia Development Centre ได้รายงานไว้ ถึงการที่กัมพูชายังคงได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับการส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรภายใต้ DCTS แม้ว่าจะพ้นจากสถานะประเทศด้อยพัฒนา (LDC) แล้วก็ตาม สำหรับโครงการพิเศษภายใต้ DCTS Enhanced Preferences สำหรับประเทศที่มีรายได้น้อยและประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่มีระบบเศรษฐกิจเปราะบาง ซึ่งมีการกำหนดภาษีเป็นศูนย์สำหรับสินค้ามากกว่าร้อยละ 85 หรือ DCTS Standard Preferences สำหรับประเทศรายได้น้อยและประเทศรายได้น้อยถึงปานกลาง ที่มีการยกเลิกหรือลดภาษีศุลกากรบางส่วนหรือทั้งหมดสำหรับสินค้ามากกว่าร้อยละ 80 จากสหราชอาณาจักร

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501462930/dcts-boosts-cambodias-exports-to-uk-by-25/

‘เวียดนาม’ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 6% มีผล 1 ก.ค.

จากพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 38 ที่เสนอปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยกระทรวงแรงงาน ผู้พิการ และสวัสดิการสังคม (MOLISA) รายงานว่าค่าแรงขั้นต่ำในภูมิภาคจะเพิ่มขึ้น 6% ทั้งค่าจ้างรายเดือนและรายชั่วโมง เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ซึ่งจะช่วยค่าครองชีพของแรงงานและคนในครอบครัว รวมถึงหนุนตลาดแรงงานเวียดนามฟื้นตัวดีขึ้นและส่งเสริมการผลิตและการดำเนินธุรกิจของกิจการ อย่างไรก็ตามยังมีอุปสรรคใหม่บางประการที่มีผลต่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มขึ้นประมาณ 200,000-280,000 ดองต่อเดือน เมื่อเทียบกับระดับปัจจุบัน

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/minimum-wage-to-increase-by-6-from-july-1-2263650.html

‘วินฟาสต์’ ผู้ผลิตรถ EV สัญชาติเวียดนาม วางขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทย

วินฟาสต์ (VinFast) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม ประกาศเมื่อวันอังคารว่าทางบริษัทวางแผนที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย และร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในการเปิดโชว์รูม อย่างไรก็ดี วินฟาสต์ที่เริ่มส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อปีที่แล้ว เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดไทยจากคู่แข่งรถยนต์สัญาชาติจีน ‘บีวายดี’ รวมถึงเทสลา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากสหรัฐฯ ก็เริ่มเข้าสู่ตลาดรถยนต์นี้ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหมดจะเข้าร่วมงานบางกอก มอเตอร์โชว์

ทั้งนี้ จากรายงานของ เคาน์เตอร์พอยต์ รีเสิร์ช บริษัทวิจัยตลาด เปิดเผยว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทย คิดเป็นสัดส่วน 58% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2565 แซงหน้าเวียดนามและอินโดนีเซีย แต่ว่าเมื่อพิจารณามูลค่าของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังคงมีสัดส่วนเล็กน้อยที่ 0.5% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าโลกในปี 2565

ที่มา : https://www.khaosodenglish.com/news/2024/03/27/vietnamese-automaker-vinfast-to-start-selling-evs-in-thailand/

อุปสงค์จากต่างประเทศที่ซบเซาส่งผลให้ราคาข้าวโพดลดลง

ตามข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมข้าวโพดเมียนมา รายงานว่า เนื่องจากความต้องการในตลาดข้าวโพดลดลง ราคาข้าวโพดจึงขยับลงไปที่ประมาณ 1,000 จ๊าดต่อviss ในช่วงปลายเดือนมีนาคม หลังจากที่แตะ 1,200 จ๊าดต่อviss ในต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 โดยเมียนมาส่งออกข้าวโพดไปยังจีนและไทยผ่านทางชายแดน และส่งออกผ่านช่องทางเดินเรือ ไปยัง จีน อินเดีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ดี ประเทศไทยที่ถือเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดชั้นนำของเมียนมา อนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดภายใต้อัตราภาษีเป็นศูนย์ (พร้อมแบบฟอร์ม D) ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ถึง 31 สิงหาคม โดยที่ประเทศไทยกำหนดอัตราภาษีสูงสุดที่ร้อยละ 73 สำหรับการนำเข้าข้าวโพด เพื่อปกป้องสิทธิของผู้ปลูกหากข้าวโพดนำเข้าในช่วงฤดูข้าวโพดของประเทศไทย นอกจากนี้ จากสถิติของกระทรวงพาณิชย์เมียนมา เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ระบุว่า เมียนมาส่งออกข้าวโพดไปทั่วโลกจำนวน 934,883 ตัน ในปีงบประมาณปัจจุบันปี 2566-2567 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน โดยมีมูลค่ารวม 279.042 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน้อยลงมากหากเทียบกับฤดูข้าวโพดปี 2565-2566 ที่เมียนมาส่งออกข้าวโพดมากกว่า 2 ล้านตันไปยังคู่ค้าต่างประเทศ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/sluggish-foreign-demand-drives-corn-prices-down/

ราคาทองคำในประเทศเมียนมาเกิน 4.3 ล้านจ๊าดต่อ tical

หลังจากที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นเหนือ 2,170 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ และค่าเงินจ๊าดในตลาดอ่อนค่าลงประมาณ 3,740 จ๊าดเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 ราคาทองคำในประเทศแตะจุดสูงสุดใหม่ที่ 4.31 ล้านจ๊าดต่อ tical (1 tical = 0.578 ออนซ์ หรือ 0.016 กิโลกรัม) ในขณะเดียวกัน สมาคมผู้ประกอบการทองคำย่างกุ้ง (YGEA) กำหนดราคาอ้างอิงที่ 3.7989 ล้านจ๊าดต่อ tical ซึ่งแสดงถึงช่องว่างระหว่างราคาที่แท้จริงในตลาดกับราคาอ้างอิงกว่า 500,000 จ๊าดต่อ tical อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบสาเหตุของความผันผวนของราคา และกำลังดำเนินคดีตามกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ YGEA จึงขอให้ตัวแทนจำหน่ายทำธุรกรรมทองคำให้ต่ำกว่าราคาอ้างอิงที่ตั้งไว้ และหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข่าวเท็จและการบิดเบือนราคา

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/domestic-gold-price-exceeds-k4-3-mln-per-tical/#article-title

ภูมิธรรม พบทูตเช็ก ดึงลงทุนเข้า EEC ขอเสียงหนุนเจรจา FTA ไทย-อียู

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับนายปาเวล ปีเตล (H.E. Mr.Pavel Pitel) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กประจำประเทศไทย ว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าในโอกาสที่ไทยและเช็กฉลองสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครอบรอบ 50 ปี เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ต้องการให้ผลักดันและสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ผมได้เชิญชวนให้ ทูตสาธารณรัฐเช็ก ขยายการลงทุนเพิ่มในไทย ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาอุตสาหกรรมที่เช็กมีความเชี่ยวชาญ เช่น การผลิตรถยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการป้องกันประเทศ โดยเช็กสามารถใช้ไทยเป็นศูนย์กลางเพื่อขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนได้ นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ได้หารือประเด็นการค้าสำคัญอื่นๆ เช่น ความเป็นไปได้ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่ไทยและเช็กมีศักยภาพ และผลักดัน soft power เช่น มวยไทย การท่องเที่ยว ให้เป็นรูปธรรมต่อไป รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ที่อยู่ระหว่างการเจรจา โดยได้ขอให้เช็กในฐานะประเทศสมาชิกของ EU สนับสนุนการเจรจาดังกล่าว เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้โดยเร็ว เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก EU 27 ประเทศ รวมถึงเช็กด้วย ซึ่งท่านทูตเช็กได้แจ้งพร้อมให้การสนับสนุนการเจรจา FTA กับไทยอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า เช็กเป็นคู่ค้าอันดับที่ 43 ของไทย และอันดับที่ 8 จาก EU โดยในปี 2566 ไทยและเช็กมีการค้าระหว่างกันรวม 1,137.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (39,387.75 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 3.62 มีสัดส่วนการค้ารวมคิดเป็นร้อยละ 0.20 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปเช็ก 784.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (27,064.81 ล้านบาท) และไทยนำเข้าจากเช็ก 353.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (12,322.94 ล้านบาท) สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/economy/news-1531031

ก.สาธารณสุข สปป.ลาว สั่งเฝ้าระวังหลังพบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ 54 ราย ในแขวงจำปาสัก

กระทรวงสาธารณสุข สปป.ลาว ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศเฝ้าระวังภายหลังมีรายงานผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ 54 ราย ใน 2 เมืองของแขวงจำปาสัก โดยสั่งให้ประชาชนให้ความร่วมมือในการติดตามแหล่งที่มาของการติดเชื้อ รวบรวมข้อมูลที่จำเป็น กักกันพื้นที่เสี่ยงและกำจัดสัตว์ที่ติดเชื้อ ทั้งนี้ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกแบ่งออกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคแอนแทรกซ์ และโรงฆ่าสัตว์บางแห่งจะถูกห้ามฆ่าวัวและควาย กรมควบคุมโรคติดต่อแนะนำเจ้าของสัตว์ควรเฝ้าระวังอาการโรคแอนแทรกซ์ในสัตว์อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนจับตาดูสัตว์เลี้ยงของตนอย่างใกล้ชิดเพื่อดูสัญญาณของการเจ็บป่วย และรายงานกรณีที่น่าสงสัยให้สัตวแพทย์ประจำหมู่บ้านทราบทันที กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ในเมืองสุขุมา แขวงจำปาสัก ที่ได้รับผลกระทบ ติดตามการฆ่าสัตว์และการบริโภคเนื้อสัตว์ในพื้นที่ที่เกิดการติดเชื้อ รวมถึงมอบหมายให้ฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ที่ตรวจพบผู้ป่วย เพื่อป้องกันการระบาด กรมวิชาการเกษตรประจำเขตได้ออกประกาศให้ทุกภาคส่วนทั้งผู้อยู่อาศัยและธุรกิจขนาดเล็ก ห้ามค้าสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์นอกเขต

ที่มา : https://english.news.cn/20240325/a4456b16c86a45f09f9de397d530ddef/c.html