นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวถึงงบประมาณภายในประเทศกัมพูชา

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวว่ากัมพูชาเริ่มดำเนินงบประมาณเข้าสู่จุดสมดุล โดยรัฐบาลได้เตรียมกองทุนสำรองฉุกเฉินมูลค่า 800 ล้านถึง 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชาหลังจากการระบาดของ COVID-19 โดยระบุว่ากองทุนจะถูกใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความเหมาะสม ตามแผนงบประมาณยุทธศาสตร์ระดับชาติของรัฐบาล (2564-2566) นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในปี 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ -1.9 ซึ่งรัฐบาลวางแผนที่จะลดงบประมาณของรัฐในปี 2564 ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนลดลงร้อยละ 50 จากงบประมาณของรัฐในปีนี้รวมถึงการลดลงร้อยละ 11.3 สำหรับกิจการสังคมและร้อยละ 6.4 สำหรับการบริหารทั่วไป ตามที่รัฐบาลคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะสามารถควบคุมได้ที่อัตราร้อยละ 2.8 อย่างไรก็ตามในปีหน้าอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 3.1 เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับอาหารและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในตลาด

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50736883/pm-hun-sen-says-budget-balanced/

“ธสน.” เตือนผู้ส่งออกบริหารความเสี่ยงรับมือ “เศรษฐกิจโลก” และปัญหาผู้ซื้อต่างประเทศ

นายพิศิษฐ์  เสรีวิวัฒนา  กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ ธสน. (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ธนาคารโลก (World Bank) ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2563 เศรษฐกิจโลกจะหดตัว 5.2% ต่ำสุดในรอบเกือบ 100 ปีนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ในช่วงทศวรรษ 1930 ขณะที่การค้าโลกจะหดตัว 13.4% เป็นการหดตัวรุนแรงเกินเลข 2 หลัก (-10% ขึ้นไป) ครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2552 “EXIM BANK” คาดว่า ในปี 2563 ภาคการส่งออกของไทยจะหดตัว 5-8% สินค้าที่มีโอกาส เช่น สินค้าจำเป็นประเภทอาหาร และสินค้าตามกระแสเมกะเทรนด์ เช่น อุปกรณ์สำนักงานสำหรับทำงานจากบ้าน (Work from Home) เครื่องมือแพทย์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ ทั้งนี้  จากการคาดการณ์ของออยเลอร์เฮอร์เมส (Euler Hermes) บริษัทประกันสินเชื่อทางการค้าชั้นนำของโลก Covid-19 จะส่งผลกระทบให้ธุรกิจการค้าทั่วโลกขาดทุนคิดเป็นมูลค่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งจะมีธุรกิจล้มละลายเพิ่มสูงขึ้นกว่า 20% ผู้ส่งออกไทยจึงต้องบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ โดยวิธีกระจายตลาดส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่ยังเติบโตหรือมีคนรุ่นใหม่ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่มาก เช่น ตลาดใหม่อย่าง CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เอเชียใต้ และแอฟริกา

ที่มา : https://www.thansettakij.com/content/439442

ลิ้นจี่เวียดนามที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่น “ขายหมด”

ผู้อำนวยการสำนักงานเกษตรและพัฒนาชนบทในจังหวัดบั๊กซาง กล่าวว่าลิ้นจี่สดที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่นนั้น คาดว่าจะขายได้ดี ซึ่งในวันที่ 21 มิ.ย. ทางจังหวัดดังกล่าว ส่งออกลิ้นจี่สดไปยังญี่ปุ่นผ่านการขนส่งทางอากาศ ด้วยปริมาณ 3 ตัน และเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ได้ส่งออกลิ้นจี่สดเพิ่มอีก 6 ตัน ผ่านทางทะเล ส่งผลให้ปริมาณขายลิ้นจี่ในญี่ปุ่น อยู่ที่ราว 10 ตัน โดยจะเริ่มวางขายในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ “ราคาลิ้นจี่ที่ขายในตลาดต่างประเทศ ปรับตัวสูงถึง 40,000 ด่งต่อกิโลกรัม ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าเมื่อเทียบกับราคาในประเทศ อย่างไรก็ตาม หากได้การวางแผนที่ดี จะสามารถส่งออกไปยังญี่ปุ่นหลายร้อยตัน”

ที่มา : http://en.dangcongsan.vn/economics/vietnamese-lychee-sold-out-in-japan-555343.html

เวียดนามเผยราคาส่งออกข้าวต่ำสุด ในรอบ 2 เดือน

อุปทานข้าวในประเทศอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวหัก (Broken Rice) ของเวียดนามปรับตัวลดลงอยู่ที่ 450 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ณ วันที่ 19 มิ.ย. ถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวเวียดนาม ระบุว่าผลผลิตข้าวในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจากอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวข้าวฤดูร้อน-ใบไม้ร่วง ปริมาณส่งออกข้าวดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 2.3-2.5 ล้านตัน หลังการบริโภคภายในประเทศเพียงพอแล้ว ในขณะเดียวกัน ราคาส่งออกข้าวในวันที่ 4 มิ.ย. พบว่าราคาปรับตัวสูงสุด 475 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็นผลมาจากอยู่ในช่วงฝนตกหนักกระทบต่อการเก็บเกี่ยว ทั้งนี้ กรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ทั้งปริมาณและมูลค่าส่งออกข้าว ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากเวียดนามมากที่สุด ด้วยปริมาณรวม 1.3 ล้านตัน (+22.4%YoY) คิดเป็นมูลค่า 598.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (+41.4%YoY) รองลงมาจีน ตามลำดับ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/rice-export-price-lowest-in-two-months/177308.vnp

ADB คาดเศรษฐกิจเมียนมาขยายตัว 1.8% ในปีนี้

เศรษฐกิจเมียนมาคาดจะเติบโตเพียง 1.8% ในปี 2563 จากข้อมูลคาดการณ์ล่าสุดของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน เบื้องต้นในเดือนเมษายน ADB คาดว่าการเติบโตของ GDP จะอยู่ที่ 4.2% จากการขยายตัวที่ 6.8% ในปี 2562 ผลจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งรัฐบาลควรดำเนินมาตรการเชิงนโยบายเพื่อลดผลกระทบเชิงลบของ COVID-19 และรับรองว่าจะไม่มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ แต่เมียนมายังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีอัตราการเติบโตของจีดีพีที่เป็นบวกในภูมิภาคในปีนี้หลังการคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีของเวียดนามที่ 4.1% และคาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2564 จะขยายตัวที่ 6% ADB คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2564 จะโต 6.2 % แต่ยังต่ำกว่าแนวโน้มก่อนเกิดวิกฤต COVID-19

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-economy-expand-18-year-adb.html

รายได้จากการส่งออกผลไม้ยังคงที่จากความต้องการกล้วยที่มีอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตผลไม้ดอกไม้และผักของเมียนมา รายได้จากการส่งออกผลไม้ของเมียนมาในปีงบประมาณปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งเทียบเท่ากับรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อนหน้าแม้จะมีการระบาด COVID-19 เนื่องจากความต้องการกล้วยคุณภาพดีที่เพิ่มขึ้นซึ่งสามารถชดเชยการส่งออกผลไม้อื่น ๆ เช่นแตงโมและแตงกวา ในความเป็นจริงหากไม่มมีการระบาดของ COVID-19 เมียนมาอาจมีรายได้จากการส่งออกผลไม้เพิ่มขึ้น ผลไม้ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังชายแดนจีน ก่อนที่ COVID-19 จะระบาด แตงโมและแตงกวาเป็นเป็นผักและผลไม้หลักในการส่งออกเพราะมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสองสามเดือนแรกของปีเมียนมาส่งออกกล้วยที่ปลูกในท้องถิ่นแถบชายแดนจำนวน 75,000 ตันที่มีรายรับ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 70,000 ตันส่งออกทั้งปีที่แล้วจำนวน 290 ล้านดอลลาร์ รายรับจากการซื้อขายรวม ณ ชายแดนปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-fruit-export-revenues-stable-due-strong-banana-demand.html

ผลงานสถาบันฯ และช่องทางการติดต่อ

ผลงานสถาบันฯ : https://bit.ly/2Bjh6FJ

ช่องทางการติดต่อ

Website : https://aiti.thaichamber.org/

Facebook : https://www.facebook.com/aitibytcc

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDTf-5H90CwQRGJiKnG7FDw

Instragram : https://www.instagram.com/aiti.thaichamber/

AppStore :https://apps.apple.com/us/app/id1477160288

Google play : https://play.google.com/store/apps/details?id=org.aiti.aitiapp

AiTi Chatbot : https://line.me/R/ti/p/%40042mreas

สปป.ลาว เล็งเห็นรายได้จากกาแฟเพิ่มมากขึ้น

จำนวนสวนกาแฟภายใต้ the Lao Coffee Association ได้ลดลงประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เนื่องจากผู้ปลูกเปลี่ยนไปปลูกมันสำปะหลังเพื่อรายได้ที่ดีขึ้น จากการที่ราคากาแฟสปป.ลาวลดลงและเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากแมลงศัตรูกาแฟ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทำให้เกษตรกรบางส่วนเปลี่ยนจากกาแฟไปปลูกพืชเชิงพาณิชย์อื่น แต่มูลค่าของกาแฟส่งออกจากสปป.ลาวเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาเมล็ดกาแฟในท้องถิ่นดีขึ้น ในช่วง 5 เดือนแรกของปีที่แล้วสปป.ลาวส่งออกกาแฟเกือบ 12,000 ตันมูลค่าประมาณ 24.9 ล้านดอลลาร์ ปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 20,000 ตันมูลค่า 37 ล้านดอลลาร์ ในกรณีของกาแฟ Arabica โดยเฉพาะเมล็ดแดง บริษัทในสปป.ลาวซื้อจากเกษตรกรราคาสูงสุดคือ 3,200 kip ($ 0.35) และราคาต่ำสุดคือ 2,800 kip ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ในเวลาเดียวกันราคาสูงสุดและต่ำสุดของเมล็ดกาแฟขาวคือ 16,500 kip และ 15,000 kip  ในขณะที่ราคาของ Robusta อยู่ที่ 12,500 kip และ 11,000 kip เนื่องจากการระบาดของโรค Covid-19 ผู้ผลิตกาแฟลาวส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนคนงานและการสั่งซื้อผู้นำเข้าบางรายได้สั่งระงับและยกเลิกจนกว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ กาแฟเป็นหนึ่งในรายได้สูงสุดของสินค้าเกษตรส่งออกจากสปป.ลาว คุณภาพของผลิตภัณฑ์กาแฟสปป.ลาวปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากความร่วมมือและการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ตามเกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงผลิตพืชโดยใช้เทคนิคท้องถิ่นซึ่งส่งผลให้ผลผลิตลดลง

ที่มา : https://www.phnompenhpost.com/business/laos-sees-more-revenue-coffee?