SEAC ชวนเช็คสุขภาพเศรษฐกิจเมียนมา เดินหน้าพัฒนาศักยภาพธุรกิจอาเซียน ในงาน Scaling Your

เมียนมาเป็นหนึ่งในประเทศในอาเซียนที่มีสถิติการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ตั้งแต่ปี 2557–2561 สูงถึง 7.2% และคาดการณ์ว่าในปีนี้ จะเติบโตขึ้นอีก 6.6% ปัจจัยมาจากองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทิศทางที่ดีขึ้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเขตเศรษฐกิจพิเศษ และกฎหมายการลงทุนของชาวต่างประเทศ ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ดัชนีความน่าเชื่อถือและสภาพเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศดีขึ้น แต่ยังคงเผชิญกับปัฐหาอีกมากมาย ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการ SEAC (Southeast Asia Center) ระบุว่า SEAC ต้องการเข้าไปพัฒนาศักยภาพของคนและองค์กร โดยทางองค์กรได้มีโอกาสเข้าไปดำเนินธุรกิจในเมียนมา ทำให้เข้าใจภาพรวมของธุรกิจ ซึ่งการปรับขยาย (Scale) คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างแท้จริง ประกอบการปรับวิธีและรูปแบบการทำงานให้ใช้ทรัพยากรที่น้อย โดยมี 3 ส่วนสำคัญ คือ กรอบความคิด (Mindset) การทดลองและลงมือทำตามวิถี (Design Thinking) และการพัฒนาทักษะที่จำเป็น สำหรับอาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถ หากเลือกกลยุทธ์ทางธุรกิจได้ถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์สำคัญ ทาง SEAC พร้อมจะช่วยเติมศักยภาพให้กับคนและองค์กรในภูมิภาคนี้

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/prg/3078088

เวียดนามเผยยอดส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปยังจีนพุ่งสูงขึ้น

เวียดนามส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปยังจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าสินค้าเกษตรหลายรายการของเวียดนามจะขนส่งไปยังตลาดใกล้เคียง ปัจจุบันเวียดนามเผชิญกับความท้าทายในการส่งออกสินค้าไปยังจีน เนื่องมาจากการเข็มงวดของคุณภาพสินค้าและการค้าข้ามพรมแดน อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนาม ระบุว่าปริมาณส่งออกเม็ดม่วงหิมพานต์ไปยังจีนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 58,100 ตัน คิดเป็นมูลค่า 447.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ที่มีการเพิ่มขึ้นทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา จีน และเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้นำเข้าเม็ดมะม่วงหิมพานต์รายใหญ่ของเวียดนาม ซึ่งจีนยังคงเป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.9 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด รองลงมาสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อาเซียน และญี่ปุ่น

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/cashew-nut-exports-to-china-rise-sharply-407644.vov

อุตสาหกรรมนมโคเวียดนาม มีอัตราการเติบโต 10% ต่อปี

ตามข้อมูลของสมาคมนมโคเวียดนาม คาดว่าอุตสาหกรรมนมเวียดนามจะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 9-10 ในปีหน้า และปริมาณการบริโภคนมของคนเวียดนามต่อหัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 28 ลิตร ภายในปี 2563 โดยการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวนั้น เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้และการพัฒนาระบบโซ่อุปทานที่ทันสมัย และการเพิ่มขึ้นของประชากรในวัยหนุ่มสาวและชนชั้นกลางในเขตพื้นที่เมือง อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์นมที่บริโภคส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะนมเหลว นมผง โยเกิร์ต และนมข้นหวาน เป็นต้น ขณะที่ การบริโภคผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ ชีส และเนยไขมันต่ำ เป็นต้น ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์หลัก 2 กลุ่มของตลาดนมภายในประเทศ คือ นมเหลวและนมผง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 3 ใน 4 ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ด้วยการผลิตนมโคสด 1.5 ล้านลิตร และปริมาณการผลิตนมผง 138,000 ตัน นอกจากนี้ อุตสาหกรรมนมในประเทศมีการขยายตัวได้ดี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยธุรกิจได้มีการปรับปรุงเครื่องมือการผลิตและสิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาคุณภาพการผลิตนมและผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnamese-dairy-industry-to-gain-annual-growth-rate-of-10-per-cent-407656.vov

โครงการอาหารโลก (WFP) ส่งมอบอุปกรณ์เทคโนโลยีส่งเสริมการศึกษาและโภชนาการ

โครงการอาหารโลก (WFP) ได้จัดหาอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อสนับสนุนโครงการอาหารของโรงเรียนเพื่อให้มั่นใจในความยั่งยืนและเสริมสร้างด้านอาหารในในโรงเรียนท้องถิ่นโดยพิธีส่งมอบอุปกรณ์ได้จัดขึ้นที่เวียงจันทน์ โครงการอาหารโลกได้ดำเนินโครงการโดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและการกีฬาให้ส่งเสริมอาหารที่ดีแก่เด็กก่อนวัยเรียนและประถมศึกษาเพื่อส่งเสริมโภชนาการในชนบทนอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้สนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาและส่งเสริมสุขภาพในพื้นที่ห่างไกล โดย WFP ได้มอบโครงการในโรงเรียนกว่า 500 แห่งเกิดความยั่งยืนและพื้นฐานด้านการศึกษาที่มั่นคงเป้าหมายในอนาคตของ WFP คือส่งมอบโครงการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนกว่า 900 แห่งในปี 2564ในอนาคตสปป.ลาวจะมีความมั่นคงทางด้านโภชนาการมากขึ้นและระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นรากฐานที่ดีในการเติบโตด้านเศรษฐกิจ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Tech.php

ความสำเร็จโครงการเยี่ยมชมสปป.ลาว จีน

ในปี 62 ที่ผ่านมาสปป.ลาวและจีนได้ร่วมมือในโครงการการเยี่ยมชมสปป.ลาว-​​จีน ทั้งสองประเทศได้มีการเยี่ยมชมระหว่างกันตามความปรารถนาของผู้นำทั้ง 2 ประเทศเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศโดยในปีที่ผ่านมีการส่งเสริมในการเอาวัฒนธรรมของทั้ง 2 ประเทศไปเผยแพร่ในสปป.ลาว-จีน เช่นจัดกิจกรรมในวันสำคัญของจีนในนครหลวงเวียงจันทน์ เทศกาลไหว้พระจันทร์ ในสวนของประเทศจีนก็มีการนำวัฒนธรรมสปป.ลาวไปเผยแพร่เช่นกัน ผลประโยชน์จากความร่วมมือดังกล่าว ทำให้ในแขวงต่างๆของสปป.ลาวมีการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนเพิ่มขึ้นของร้านค้าจากยอดนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมทั้งจีนและสปป.ลาว โดยยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วง 9 เดือนมีผู้คนไปเที่ยวประเทศลาวมากกว่า 3.4 ล้านคนเพิ่มขึ้น 11% จากปีที่แล้วซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนให้ได้ 1 ล้านคนในปีนี้ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ตามเป้าจากการส่งเสริมของทั้ง 2 ประเทศ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Authorities.php

การเรียกร้องให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยให้กับเกษตรกร

ตัวแทนจากสมาพันธ์ข้าวแห่งกัมพูชา (CRF) ได้เรียกร้องให้สถาบันการเงินทบทวนอัตราดอกเบี้ยเพื่อการเกษตรเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ประสิทธิภาพการผลิตและหนุนการเติบโตของภาคเกษตร โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นในการประชุมเศรษฐกิจมหภาค NBC ประจำปีครั้งที่ 6 ด้านการเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างรวดเร็วและสภาพแวดล้อมการค้าโลกที่ไม่แน่นอนซึ่งจัดโดยธนาคารแห่งชาติกัมพูชา โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยสำหรับเกษตรกรอยู่ในระดับสูง คือ 12%-18% ต่อปี ซึ่งรองประธาน CRF กล่าวว่าสำหรับภาคการค้าและการค้าปลีกเพียง 6.5%-8.5% โดยสิ่งนี้ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศอื่นซึ่งภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนประมาณ 30% ของ GDP ของประเทศคิดเป็นมูลค่า 6-8 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตามพอร์ตสินเชื่อจากภาคการเงินไปสู่ภาคเกษตรกรรมมีเพียง 10% ของพอร์ตสินเชื่อรวม โดยปัญหาดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อองค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเกษตรกรรายย่อยและชุมชนขนาดใหญ่ ซึ่งการเติบโตของภาคการเงินจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของภาคเกษตร

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50670590/call-for-lower-interest-rates-for-farmers/

รัฐบาลกัมพูชาจัดสรรงบประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับธนาคาร SME

รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุน SME Bank โดยนายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวว่าได้อนุมัติให้ใช้เงินจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อจัดตั้งธนาคาร ซึ่งกระทรวงเศรษฐกิจและการเงินประกาศเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่าธนาคาร SME คาดว่าจะมีระบบออนไลน์ภายในปลายปี 2562 โดย ประธานสหพันธ์สมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งกัมพูชากล่าวว่าเป้าหมายของธนาคารคือการสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่นและช่วยให้พวกเขาขยายตัว ซึ่งกล่าวว่า SMEs ในท้องถิ่นมักประสบปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อเนื่องจากขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้จากธนาคาร SME โดยบริษัทจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางการเงินและบัญชีที่เหมาะสม ซึ่งธนาคาร SME ในกัมพูชาจะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อช่วยให้บริษัทเหล่านี้ได้รับสินเชื่อที่เหมาะสมที่สุดแก่กิจการ โดยเลขาธิการแห่งรัฐของกระทรวงอุตสาหกรรมและหัตถกรรมกล่าวว่ากัมพูชามี SMEs ประมาณ 520,000 ราย แต่มีเพียง 150,000 ราย ที่เป็นผู้ผลิตที่จดทะเบียน ซึ่งเชื่อว่าธนาคาร SME จะให้ความสำคัญกับหลายภาคส่วนรวมถึงภาคการผลิตการท่องเที่ยว การแปรรูปอาหารและ บริษัทสตาร์ทอัพ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50670809/govt-allocates-100-million-to-sme-bank/

รัสเซียกระตือรือร้นสำรวจธุรกิจในเมียนมา

สัปดาห์ก่อนหน้านี้ รมต.กระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนธุรกิจของรัสเซียในเนปิดอว์ โดยได้หารือถึงโอกาสการลงทุนและการค้ากับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซียและเอกอัครราชทูตของสหพันธรัฐรัสเซีย ในการหารือเมียนมาเรียกร้องให้รัสเซียให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมด้านเทคนิคและการอาชีพสำหรับชาวเมียนมาและส่งเสริมการร่วมทุนในภาคเกษตร อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน และการท่องเที่ยว และผลักดันโครงการของรัสเซียที่ได้รับการสนับสนุนเพิ่ม และสร้างเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศ ในที่ประชุมเดือน ก.ย. รัสเซียเสนอการช่วยเหลือการเปลี่ยนสื่อออกอากาศของท้องถิ่นจากระบบอนาล็อกเป็นระบบดิจิตอล และสนับสนุนในด้านดิจิทัล เช่น ร่างกฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์เป็นครั้งแรก สร้างแพลตฟอร์มรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาเมืองอัจฉริยะ รัสเซียเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่อันดับที่ 22 ด้วยเงินลงทุนกว่า 90 พันล้านเหรียญสหรัฐในธุรกิจท้องถิ่นสองแห่ง การค้าระหว่างประเทศมีมูลค่ารวม 46 ล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 61-62

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/russia-keen-explore-business-opportunities-myanmar.html

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภาคชนบทได้รับทุนสนับสนุน

ตลาดเกิดใหม่เมียนมา (EME- พม่า) มีบริษัทอีคอมเมิร์ซสำหรับร้านค้าปลีกในชนบทที่ตั้งอยู่ในย่างกุ้ง โดยมีตัวเลขการลงทุนรวมหกหลักแต่ยังไม่เป็นที่เปิดเผย Ezay ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคมเริ่มต้นด้วยการให้บริการแพลตฟอร์มมือถือสำหรับลูกค้าที่จะซื้อหุ้นใหม่จากผู้ค้าส่งรวมถึงจัดส่งสินค้าออนไลน์ แทนที่จะมาร้านค้าด้วยตัวเอง เพื่อเชื่อมโยงผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกผ่านแพลตฟอร์มมือถือ ทำให้การส่งมอบสินค้าสู่ร้านค้าปลีกทำได้ง่ายขึ้น สามารถแก้ปัญหานี้ในชนบททั่วประเทศ ผลตอบรับเป็นไปในเชิงบวกจากผู้ค้าปลีกว่ามีความสะดวกสบาย การจัดส่งและราคาไม่ต่างกันเมื่อเปรียบเทียบกับออฟไลน์มากนัก บริษัทวางแผนขยายธุรกิจในเมียนมาให้เร็วมากกว่านี้ และพัฒนาด้านซัพพลายเชนการค้าปลีกและสร้างความพึงพอใจของลูกค้า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของเมียนมายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่มีมูลค่าตลาด 6 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามการช็อปปิ้งออนไลน์บนโซเชียลมีเดียนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมากขึ้นเนื่องจากบัญชี Facebook มีมากกว่า 85% ของปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดของประเทศ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/rural-e-commerce-startup-secures-funding.html