IMF ระบุว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะเติบโต 5.8% ในปี 2025

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาจะเติบโตร้อยละ 5.8 ในปี 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากภาคส่วนหลัก เช่น การท่องเที่ยวและการส่งออกเสื้อผ้า รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ตามรายงานเศรษฐกิจของกัมพูชามีการฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้จะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตจากร้อยละ 5.5 ในปี 2024 เป็นร้อยละ 5.8 ในปี 2025 อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.5 ในปี 2024 เป็นร้อยละ 2 ในปี 2025 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่จัดการได้ ในขณะเดียวกัน IMF ยังระบุว่าเศรษฐกิจกัมพูชาอาจมีความเปราะบางเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนโยบายของคู่ค้าหลัก และความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนจากต่างชาติ อย่างไรก็ตาม IMF ได้ให้คำแนะนำหลายประการเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจกัมพูชาดำเนินต่อไปได้ รวมถึงการปฏิรูปนโยบายการคลัง การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีและการยกเว้นภาษี โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย และการเสริมสร้างการจัดการการลงทุนภาครัฐให้เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างความยืดหยุ่น และรักษาเสถียรภาพของหนี้สาธารณะ เป็นต้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501633100/imf-says-cambodias-economy-will-grow-by-5-8-in-2025/

รัฐบาลกัมพูชาพร้อมส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตรสู่ระดับสากล

Keo Buntheng ผู้ช่วยทางการพาณิชย์ประจำสาธารณรัฐตุรกี เข้าพบกับผู้นำเข้าจากต่างประเทศหลายราย เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผลิตภัณฑ์กัมพูชาและสำรวจโอกาสในการขยายตลาดของกัมพูชาไปยังทั่วโลก โดยได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอาหารและเครื่องดื่ม ครั้งที่ 31 ณ ศูนย์แสดงสินค้า Antalya Expo Center ในเมืองอันตัลยา ประเทศตุรกี ระหว่างวันที่ 28 ถึง 31 มกราคม ซึ่งทางการกัมพูชามุ่งเน้นไปที่สินค้ากลุ่มเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ข้าว พริกไทย ผลไม้แห้ง และถั่วต่างๆ ตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ (MoC) งานดังกล่าวดึงดูดผู้จัดแสดงประมาณ 300 ราย จาก 70 จังหวัดทั่วตุรกี และอีก 50 ประเทศ รวมถึงมีผู้เยี่ยมชมทั้งหมดประมาณ 20,000 คน ภายในงาน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501633489/cambodian-official-promotes-agricultural-products-to-intl-importers/

เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ 53 ลำจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือย่างกุ้งในเดือนกุมภาพันธ์

สำนักงานการท่าเรือเมียนมาประกาศว่าเรือขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด 53 ลำมีกำหนดจะเดินทางมาถึงท่าเรือย่างกุ้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยมีเรือขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัท SITC Shipping Line จำนวน 10 ลำ บริษัท Cosco Shipping Line จำนวน 8 ลำ บริษัท Samudera Shipping Line จำนวน 6 ลำ บริษัท Maersk A/S Line จำนวน 5 ลำ บริษัท MSC Line และ CMA CGM Line จำนวน 4 ลำ บริษัท Ti2 Container Line, ONE Line และ RCL Line จำนวน 3 ลำ บริษัท BLPL Shipping Line, Ocean Salute Shipping Line และ Evergreen Line จำนวน 2 ลำ และเรือขนส่งทางบกและทางทะเล 1 ลำ อย่างไรก็ดี สำนักงานการท่าเรือเมียนมาได้จัดเตรียมช่องทางการค้าทางทะเลเพื่อรองรับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ ส่งเสริมการส่งออก และปรับปรุงขีดความสามารถของท่าเรือให้สามารถรองรับเรือที่มาถึงได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสำนักงานการท่าเรือเมียนมาจะแจ้งให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าทราบเกี่ยวกับตารางการมาถึงของเรือโดยเร็วที่สุดเมื่อตารางการมาถึงขยายออกไป เรือขนส่งสินค้า 62 ลำเดินทางมาถึงท่าเรือย่างกุ้งในเดือนมกราคม 2025 นอกจากนี้ ในปี 2023 และ 2024 ท่าเรือย่างกุ้งมีการรองรับเรือขนส่งสินค้าไปแล้ว 629 และ 633 ลำ ตามลำดับ

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/53-container-vessels-to-dock-at-yangon-port-in-feb/

ส่งออกข้าวปี 60 สร้างรายได้ 1.33 พันล้านเหรียญสหรัฐ

สหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) แถลงว่า ในปีที่แล้วเมียนมามีบริษัทส่งออกข้าวและข้าวหักรวม 103 บริษัทไปยัง 49 ประเทศคู่ค้า ปริมาณการส่งออกรวมกว่า 2,767,414 ตัน ซึ่งสร้างรายได้กว่า 1,331.899 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี สหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) ในด้านภาคเอกชนได้ดำเนินการส่งออกข้าวและข้าวหักตามนโยบายและคำสั่งของรัฐบาล และในขณะเดียวกันก็ได้ส่งเสริมให้บริษัทส่งออกรายใหม่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยการแบ่งปันความรู้และจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับคุณภาพ ปริมาณ และกระบวนการของตลาดข้าวระหว่างประเทศ สหพันธ์ข้าวเมียนมาระบุอีกว่า ผู้ส่งออกรายใหม่มีส่วนร่วมในภาคการส่งออกข้าวและข้าวหักด้วยแนวทางที่เป็นระบบ โดยสมาชิกของสหพันธ์ข้าวเมียนมาขยายตัวเป็น 1,196 ราย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 980 ราย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 ปีก่อน ด้วยการเติบโตของสมาชิกและความไว้วางใจและความร่วมมือ MRF จะให้บริการที่ดีขึ้น การแบ่งปันข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และความร่วมมือที่แข็งแกร่งขึ้น MRF ซึ่งรวมถึงกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร และโรงสีข้าว ได้เชิญชวนผู้ส่งออกที่ต้องการร่วมมือในภาคการส่งออกข้าวและข้าวหักในปี 2568 เพื่อเชื่อมโยงตลาด และช่วยเหลือในการดำเนินงานแก่สมาชิก

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/rice-and-broken-rice-export-earns-us1331-899million-in-last-year/

‘ผลสำรวจ’ เผย อพาร์ทเมนท์ในฮานอยกว่า 40% ราคารีเซลสูงเกิน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ

จากรายงานของสถาบันเศรษฐศาสตร์การก่อสร้าง (Institute of Construction Economics) พบว่าเกือบ 40% ของอพาร์ตเมนต์ขายต่อ หรือรีเซลในเมืองฮานอย มีราคาสูงกว่า 5 พันล้านด่อง (ประมาณ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และ 38.5% มีราคาอยู่ที่ราว 3 – 5 พันล้านด่อง ทั้งนี้ ราคาอพาร์ทเมนท์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การซื้ออพาร์ตเมนต์ดังกล่าว เกินกำลังซื้อของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย สาเหตุหลักมาจากการที่โครงการใหม่ ๆ ตั้งราคาเริ่มต้นอย่างน้อย 50 ล้านด่องต่อตารางเมตร ซึ่งหมายความว่าอพาร์ตเมนต์ขนาด 65 ตารางเมตร จะมีราคาอยู่ที่ 3.25 พันล้านด่อง การที่เน้นไปที่กลุ่มตลาดระดับไฮเอนด์ ส่งผลให้ความสมดุลของอุปทานที่อยู่อาศัยเสียไป ในขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เวียดนาม (VARS) ยืนยันถึงแนวโน้มนี้ โดยในปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวอพาร์ตเมนต์ที่มีราคาเกินกว่า 80 ล้านด่องต่อตารางเมตรในเมืองฮานอย

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/data-speaks/40-of-hanoi-resale-apartments-priced-200k-or-more-4842391.html

‘แพลตฟอร์มดิจิทัล’ ผลักดันโอกาสการท่องเที่ยวยุคใหม่ของเวียดนาม

นาย Hồ An Phong รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวเวียดนาม มองว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในปัจจุบัน เป็นกุญแจสำคัญของการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยทางกระทรวงฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล จึงได้ดำเนินการจัดทำกฎหมายและวางกรอบแนวทางการดำเนินงานต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งชาติ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการท่องเที่ยวอัจฉริยะ ซึ่งการดำเนินการแหล่านี้เป็นการวางรากฐานและตำแหน่งการท่องเที่ยวให้เป็นส่วนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ จากตัวเลขสถิติของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2567 พบว่านักท่องเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวมทั้งสิ้นปริมาณ 110 ล้านคน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 17.5 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับประเทศราว 840 ล้านล้านด่อง หรือประมาณ 33.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยตั้งเป้าในปี 2568 ว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 22-23 ล้านคน และนักท่องเที่ยวในประเทศ 120-130 ล้านคน สร้างรายได้ 950-1,050 ล้านล้านด่อง และสร้างแรงงาน 5.5 ล้านตำแหน่ง

ที่มา : https://vietnamnews.vn/society/1691491/opportunities-for-vietnamese-tourism-to-soar-in-the-digital-era.html

เมียนมามีรายได้ 447 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการส่งออกข้าวโพดในปีงบประมาณ 2024-2025

ตามข้อมูลของสมาคมพ่อค้าข้าวโพดเมียนมา เมียนมาส่งออกข้าวโพดไปยังตลาดต่างประเทศมากกว่า 1.88 ล้านตันในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายนในปีงบประมาณปัจจุบัน 2024-2025 คิดเป็นมูลค่า 447 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดรายใหญ่ของเมียนมา ปัจจุบันส่งออกไปยังจีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ และบังคลาเทศ อย่างไรก็ดี ข้าวโพดของเมียนมาเป็นที่ต้องการอย่างมากทั้งจากผู้ซื้อจากต่างประเทศและโรงงานแปรรูปอาหารสัตว์ในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ข้าวโพดจะถูกส่งมายังประเทศไทยโดยได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากร ประเทศไทยอนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวโพดโดยไม่เสียภาษีศุลกากร (โดยใช้แบบฟอร์ม D) ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ถึง 31 สิงหาคม 2567 นอกจากนี้ ประเทศไทยกำหนดอัตราภาษีสูงสุดที่ 73 เปอร์เซ็นต์สำหรับการนำเข้าข้าวโพดเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ปลูกหากมีการนำเข้าข้าวโพดในช่วงฤดูกาลของประเทศไทย ดังนั้น ผู้ค้าจึงเก็บข้าวโพดเพื่อส่งออกภายใต้การยกเว้นภาษี

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/myanmar-bags-us447m-from-maize-exports-in-fy-2024-2025/

อินโดนีเซียซื้อข้าวจากเมียนมากว่า 590,000 ตัน ครองอันดับหนึ่งในรายชื่อผู้ซื้อ

ตามข้อมูลของสหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) อินโดนีเซียกลายมาเป็นผู้นำเข้าข้าวของเมียนมารายใหญ่ที่สุด โดยมีปริมาณมากกว่า 593,000 ตันในช่วง 9 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2024-2025 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน อันดับสองรองลงมาคือ จีน ที่นำเข้าข้าวของเมียนมา มากกว่า 410,000 ตัน รองลงมาคือเบลเยียม 274,400 ตัน ฟิลิปปินส์ 131,000 ตัน เซเนกัล 96,600 ตัน ไอวอรีโคสต์ 46,900 ตัน โมซัมบิก 44,200 ตัน สเปน 30,000 ตัน แคเมอรูน 27,100 ตัน เนเธอร์แลนด์ 17,500 ตัน โปแลนด์ 17,400 ตัน ไอวอรีโคสต์ 13,900 ตัน และอิตาลี 13,300 ตัน ทั้งนี้ สถิติของสหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) ระบุว่าการส่งออกข้าวและข้าวหักของเมียนมาพุ่งแตะระดับกว่า 2 ล้านตันในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่เดือนเมษายน-ธันวาคม) ของปีงบประมาณปัจจุบัน 2024-2025 โดยมีมูลค่าประมาณ 948 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสหพันธ์มีเป้าหมายที่จะส่งออกข้าวให้ได้ 2.5 ล้านตันในปีงบประมาณ 2024-2025 (เมษายน-มีนาคม) อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์เมียนมาได้ร่วมมือกับหน่วยงานและสถาบันที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าหมายการส่งออกรายเดือนและต่อๆ ไป โดยขึ้นอยู่กับปริมาณการจัดหาข้าว ข้าวหัก พืชตระกูลถั่ว ข้าวโพด ยางพารา และการประมงจากบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถส่งออกข้าวได้ 2.5 ล้านตันในปีงบประมาณ 2023-2024 สร้างรายได้ 1 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ประธานสหพันธ์ข้าวเมียนมา กล่าวอีกว่า นโยบายการเงินของธนาคารกลางเมียนมาในการควบคุมรายได้จากการส่งออกทำให้การส่งออกข้าวเป็นอุปสรรค ส่งผลให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบทางการเงิน นอกจากนี้ สภาพอากาศเอลนีโญยังทำให้การส่งออกข้าวได้รับผลกระทบด้วย

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/indonesia-buys-over-590000-tonnes-of-myanmar-rice-tops-buyers-list/#article-title

‘เวียดนาม’ ชูยุทธศาสตร์ผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ปลดล็อกโอกาส 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ศาสตราจารย์ด่าง เลือง โม (Dang Luong Mo) ผู้เชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์ กล่าวกับสำนักข่าว Hanoimoi เกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายของเวียดนามจากการแข่งขันของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดยตั้งแต่สหรัฐฯ ยกเลิกการคว่ำบาตรเวียดนาม เมื่อปี 1994 ทำให้เวียดนามมีโอกาสในการผลักดันอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ได้ แต่เวียดนามพลาดโอกาสครั้งสำคัญ เนื่องจากเหตุผลหลายประการ อย่างไรก็ดี นากยรัฐมนตรี ประกาศลงนามในมิติที่ 1018/QD-TTg ในการผลักดันยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จนถึงปี 2030 พร้อมวิสัยทัศน์ปี 2050 นับเป็นโอกาสและความท้าทายของเวียดนามที่จะก้าวเข้าสู่เทคโนโลยีใหม่ ทั้งนี้ เวียดนามได้รับความสนใจจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เช่น Renesas (ญี่ปุ่น) Intel (สหรัฐอเมริกา) และ Samsung (เกาหลีใต้) เป็นต้น

นอกจากนี้ ในปี 2030 อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ มีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้มากกว่า 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยมูลค่าเพิ่มของเวียดนามจะอยู่ระหว่าง 10% – 15%

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-s-semiconductor-strategy-unlocking-a-25-billion-opportunity-2367339.html

‘เวียดนาม’ เดินหน้าสร้างเสถียรภาพและขยายพื้นที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ

รัฐบาลเวียดนามกำหนดให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการเร่งรัดและการทำลายข้อจำกัด เพื่อเอาชนะความยากลำบากและความท้าทาย โดยใช้ความมั่นคงเป็นพื้นฐานในการส่งเสริมการพัฒนา และการพัฒนาเป็นฐานสำหรับความมั่นคง เป้าหมายคือการบรรลุผลสูงสุดตามแผน 5 ปี 2564-2568

รองนายกรัฐมนตรี โฮ ดึ๊ก ฟ็อก (Ho Duc Phoc) ระบุว่าในปี 2567 สถานการณ์โลกและภูมิภาคยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อน แม้จะมีความท้าทาย แต่เศรษฐกิจของเวียดนามยังคงฟื้นตัว โดยคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่สภาแห่งชาติกำหนดไว้ที่ 6-6.5%

สำหรับงบประมาณของรัฐในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.96 ล้านล้านดอง เพิ่มขึ้น 15.6% จากปีที่แล้ว โดยรายได้ภายในประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านดอง คิดเป็น 85% ของรายได้ทั้งหมด การประมาณการนี้แสดงถึงความยั่งยืนและความสามารถในการรับมือกับผลกระทบในบริบทของสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงมีความเสี่ยงและความท้าทาย

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และส่งเสริมการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจ

ที่มา : https://en.nhandan.vn/building-larger-and-more-stable-growth-space-post143720.html