ภาคอสังหาฯ มีสัดส่วน 7.6% ของเศรษฐกิจเวียดนาม

สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเวียดนาม (VNREA) เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7.62% ของ GDP เวียดนามในปี 2562 ในแง่ของสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์นั้น มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 20.8% ของสินทรัพย์รวมของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2563 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ทั้งประเทศ 986.82 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 ทั้งนี้ ตามงานวิจัย ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้าอิสระ ชี้ให้เห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยส่วนใหญ่จะกระจายไปอยู่ในการก่อสร้าง อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร การเงินและการธนาคาร อย่างไรก็ตาม นาย Vo Tri Thanh นักเศรษฐศาสตร์และสมาชิกสภาที่ปรึกษาด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางเวียดนาม กล่าวว่าควรจะจัดลำดับความสำคัญของนโยบายในการพัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ สมาคมดังกล่าว มีแผนที่จะส่งงานวิจัยและข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาล คณะกรรมการธิการ สมัชชาแห่งชาติ กระทรวงก่อสร้าง กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดนโยบายระยะยาวต่อภาคอสังหาริมทรัพย์

ที่มา : http://hanoitimes.vn/real-estate-accounts-for-76-of-vietnam-economy-315846.html

แบงก์ชาติเวียดนามตั้งเป้าสินเชื่อ 12% ในปี 64

ในปี 2564 ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 12% ใกล้เคียงกับระดับเดียวกันของปีที่แล้วที่ 11-12% สิ่งนี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญในปี 2564 ที่กำหนดไว้ในหนังสือเวียนฉบับ No.01/CT-NHNN โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ แบงก์ชาติเวียดนาม คาดว่าจะยังคงควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำกว่า 4% เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ในขณะที่ ภาคธนาคารมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อ รวมถึงช่วยเหลือธุรกิจและผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส อย่างไรก็ตาม แบงก์ชาติเวียดนาม ได้เน้นถึงความสำคัญในเรื่องการปรับโครงสร้างสถาบันสินเชื่อ โดยเฉพาะระบบธนาคารที่อ่อนแอ และแก้ไขปัญหาหนี้เสีย นอกจากนี้ เมื่อปี 2563 แบงก์ชาติเวียดนามได้หั่นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งที่ 4 เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง

  ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-cbank-targets-credit-growth-at-12-in-2021-315835.html

เวียดนามก้าวสู่สังคมไร้เงินสด

เวียดนามกำลังจะเข้าสู่การเป็นสังคมไร้เงินสด เนื่องจากผู้คนหันมาใช้จ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) แทนการชำระเงินแบบดั้งเดิม ตามผลการสำรวจจากผู้ให้บริการชำระเงิน “VISA” ในปี 2563 เผยว่าลูกค้าชาวเวียดนาม 47% หันมาใช้การชำระเงินที่ไร้การสัมผัส และ 45% ใช้การชำระเงินออนไลน์ และ 51% มีบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ซึ่งแนวโน้มพฤติกรรมการชำระเงินดังกล่าว คล้ายกับอีกหลายๆประเทศในเอเชียแปซิฟิก นับว่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ VISA ประกาศเร่งโครงการสตาร์ทอัพในภูมิภาคนี้ รวมถึงเวียดนาม ทั้งนี้ นาย Chris Clark ประธานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของ Visa กล่าวว่าจากประสบการณ์ของบริษัทและกลุ่มสตาร์ทอัพหลายแห่ง พบว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งธุรกิจจะเผชิญกับอุปสรรคบางอย่าง เมื่อทำการขยายการดำเนินงานไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังเป็นจุดหมายปลายทางส่วนใหญ่ของการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยสัดส่วน 36% ที่ลงทุนไปยังระบบการชำระเงินแบบใหม่ในปี 2562

ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-moves-towards-cashless-society-315819.html

เวียดนามเดินหน้าสู่ศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ

นาย Nguyen Chi Dung รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุน กล่าวว่าหลังจากล่าช้ามาหลายปี เวียดนามก็เริ่มดำเนินก่อตั้งศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ ตามแผนในปีนี้  ซึ่งในปัจจุบัน เวียดนามได้รับโอกาสอีกครั้ง ในการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ (IFC) และเมืองสำคัญ อาทิ เมืองโฮจิมินห์ และดานัง เป็นต้น ศูนย์กลาง IFC จะดึงดูดเงินทุนระหว่างประเทศและเพิ่มรายได้ของรัฐบาล ทั้งนี้ ศูนย์กลางทางการเงิน จะกระจายไปทั้งทั่วภูมิภาคหรือเมืองที่พร้อมด้านการบริการทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบ และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ได้โดยตรงจากกลุ่มธนาคาร บริษัทประกัน กองทุนเพื่อการลงทุนและตลาดทุนที่จดทะเบียน ด้วยเหตุนี้ จะช่วยให้บริษัท องค์กรและผู้คนจากทั่วโลก เข้ามาใช้ประโยชน์จากการจัดหาเงินทุนในห่วงโซ่อุปทานและการจัดการความเสี่ยง

  ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/economy/vietnam-to-begin-work-on-international-financial-center-in-earnest-4218770.html

เวียดนามเผยอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ คาดว่ายอดขายในประเทศพุ่ง แต่ส่งออกชะลอตัว

ตามรายงานของ SSI Research เปิดเผยว่าความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-7% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับปี 63 โดยยอดขายในประเทศที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รวมถึงการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ล้วนส่งผลให้ความต้องการปูนซีเมนต์พุ่ง ในขณะที่การส่งออกปูนซีเมนต์ คาดว่าอยู่ในระดับไม่เปลี่ยนแปลง/ทรงตัว เนื่องจากความต้องการนำเข้าของจีนยังอยู่ในระดับสูง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตามคงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นการเติบโตสูงขึ้นในปี 63 เป็นผลมาจากอุปทานปูนซีเมนต์ของจีนที่กำลังค่อยๆฟื้นตัว ทั้งนี้ คาดการณ์ว่ากำลังการผลิตรวมของอุตสาหกรรมดังกล่าว จะเพิ่มขึ้น 7 ล้านตัน หรือ 7% เนื่องจากสายการผลิตใหม่ที่เริ่มเปิดดำเนินการในปลายปี 63 และต้นปีนี้ สำหรับการส่งออกของอุตสาหกรรมดังกล่าวนั้น พบว่าอุตฯ พึ่งพาตลาดจีนค่อนข้างมาก และสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือการปรับนโยบายการคลังที่เข็มงวดขึ้นในอนาคตข้างหน้า

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/855281/cement-industry-domestic-sale-forecast-to-increase-but-export-to-slowdown.html

เวียดนามประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการส่งออกข้าว แม้มีการหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแถลงการณ์ว่าในปี 2563 เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 6.15 ล้านตัน หรือเป็นมูลค่า 3.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าปริมาณการส่งออกข้าวจะลดลงราว 3.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากด้านความมั่งคงทางอาหารของประเทศ แต่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 9.3% อีกทั้ง ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยทั้งปี อยู่ที่ประมาณ 499 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปี 2562 ข้อมูลข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าเป็นราคาเฉลี่ยทั้งปีที่สูงที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลประโยชน์แก่ชาวเกษตรกรเวียดนาม อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการส่งออกข้าวของเวียดนาม ยังคงใช้ข้าวที่มีคุณภาพสูง ด้วยราคาขายและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ตามรายงานของสมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) ระบุว่าในปี 2563 เป็นปีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการส่งออกข้าวของเวียดนาม เหตุจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในหลายๆประเทศ และความสามารถทางการแข่งขันของเวียดนามที่ดีขึ้นในตลาดโลก ถึงแม้ว่าโควิด-19 ระบาดไปยังทั่วโลก แต่ผู้ส่งออกข้าวได้ทำการปรับเปลี่ยนกิจกรรมและแสดงหาตลาดใหม่ รวมถึงนำข้อได้เปรียบจากการที่ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ใช้ออกมาอย่างเต็มที่

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/vietnams-rice-exports-win-big-despite-one-month-interuption-27137.html

เศรษฐกิจเวียดนามสดใส ปี 63 แม้เผชิญโควิด-19

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสดใส ด้วยอัตราการขยายตัว 2.91% ในปี 2563 เนื่องมาจากการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ (CEBR) กล่าวว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะก้าวขึ้นไปอยู่อันดับที่ 19 ของโลกภายในปี 2578 และคาดว่าการเติบโตของ GDP เฉลี่ยจะอยู่ที่ 7% ในช่วงปี 2564-2568 และในอีก 10 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจเวียดนามจะโตเฉลี่ย 6.6% ในแต่ละปี อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวบีบีซีอังกฤษรายงานด้วยว่าเวียดนามได้รับความเสียหายจากโควิด-19 น้อยที่สุด และเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเติบโตในเชิงบวกในปี 2563

  ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-economic-bright-spot-in-2020-829244.vov

HSBC เผยเวียดนามก้าวเป็น 1 ในประเทศที่มีการเติบโตสูงที่สุดในปี 64

ตามรายงาน “Asia Economics Quarterly” ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น (HSBC) เปิดเผยว่าถึงแม้จะเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั้น แต่เวียดนามก็ข้ามอุปสรรคจากการระบาดของโควิด-19 มาได้ ด้วยจำนวนประชากรกว่า 95 ล้านคน และการรับมือกับสถานการณ์โควิดได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ที่ราว 1,400 คน ทั้งนี้ การเติบโตของตัวเลข GDP ในปี 2563 อยู่ที่ 2.91% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่และดีที่สุดในโลก เมื่ออยู่ภายใต้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อปรับตัวชะลอลงจาก 3.9% ในช่วงสามไตรมาสแรก อยู่ถึง 1.5% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาน้ำมันที่ลดลง นอกจากนี้ HSBC ระบุว่าภาคการท่องเที่ยวยังเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่างด้วยกัน แต่ว่าความเลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปหลังจากไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ที่พักและการขนส่งยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จากข้อจำกัดในการเดินทางข้ามพรมแดน

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-to-be-among-top-growth-performers-again-in-2021-hsbc/194315.vnp

เวียดนามส่งออกเครื่องหนัง รองเท้า ปี 63 ดิ่งลง 10% ด้วยมูลค่า 16.5 พันดอลลาร์สหรัฐ

สมาคมรองเท้าและเครื่องหนังเวียดนาม (Lefaso) ระบุว่าในปี 2563 การส่งออกเครื่องหนังและรองเท้าของเวียดนาม คาดว่าจะลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี ด้วยมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้าในท้องถิ่น ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนโยบายภาครัฐบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการส่งออกไว้ที่ 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเครื่องหนังของเวียดนาม ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการหยุดชะงักของการนำเข้าวัตถุดิบจากจีน ในขณะที่ ตลาดสหรัฐฯและยุโรปที่มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 70 ของยอดส่งออกเครื่องหนังของเวียดนาม ก็ถูกสั่งปิดจากการระบาดของโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตเครื่องหนังหลายรายของเวียดนาม ตกอยู่ภายใต้สถานกาณณ์ยากลำบากที่ไม่ได้รับคำสั่งซื้อใหม่ รวมถึงความล่าช้าของคำสั่งซื้อที่มีอยู่ อีกทั้ง ปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือธุรกิจขาดเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งต้องได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-exports-of-leather-footwear-down-10-to-us165-billion-in-2020-315749.html

ซี.พี.เปิดคอมเพล็กซ์ผลิตไก่ในเวียดนาม ใหญ่-ทันสมัยสุดในอาเซียน

รายงานข่าวจากบริษัท ซี.พี.เวียดนามคอร์ปอเรชั่น หรือ ซี.พี.เวียดนาม เผยว่า ได้เปิดโครงการคอมเพล็กซ์โรงงาน CPV Food Binh Phuoc  ผลิตไก่ครบวงจร ทั้งอาหารสัตว์ ฟาร์ม และอาหารแปรรูปอย่างเป็นทางการ ที่จังหวัดบิ่นห์เฟื้อก ทางตอนใต้ของเวียดนามโดยเป็นโครงการเลี้ยงไก่แปรรูปแบบครบวงจรเพื่อการส่งออกแห่งแรกของเวียดนาม และมีขนาดใหญ่ รวมถึงทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) ซึ่งจะช่วยยกระดับการผลิตอาหารของประเทศเวียดนาม ให้มีคุณภาพทัดเทียมกับระดับโลก ทั้งนี้ โครงการคอมเพล็กซ์ มีเป้าหมายการผลิตไก่เนื้อ 50 ล้านตัว / ปี ในเฟสแรก (ตั้งแต่ปี 2019-2023) ส่วนเฟสที่ 2 (ตั้งแต่ 2023 เป็นต้นไป) จะเพิ่มกำลังการผลิตขื้นเป็น 100 ล้านตัว / ปี ขณะที่ โครงการเลี้ยงไก่แปรรูปครบวงจรเพื่อการส่งออก CPV FOOD Binh Phuoc ใช้งบประมาณลงทุน 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในประเทศเวียดนาม สู่การเป็นผู้ผลิตอาหารระดับโลก ด้วยผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคทั้งภายในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะนำเงินเข้าสู่ประเทศเวียดนามประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี (ประมาณ 3,100 ล้านบาท คำนวณที่ 31 บาทต่อดอลลาร์) ในเฟสที่ 1 และ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(6,200 ล้านบาท) ต่อปีในเฟสที่ 2

ที่มา : https://www.thansettakij.com/content/463063