จ.ประจวบคีรีขันธ์ เตรียมความพร้อมเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขรเต็มรูปแบบ กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดนหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลาย

นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจังหวัดได้ผ่อนปรนการเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร ต.คลองวาฬ อ.เมือง เฉพาะเพื่อการขนถ่ายสินค้าข้ามแดน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการนำเข้าส่งออกสินค้าไทย-เมียนมา ส่วนในระยะต่อไปได้เตรียมพร้อมเปิดด่านสิงขรเต็มรูปแบบให้ยานพาหนะ บุคคล และสิ่งของสามารถผ่านเข้าออกได้อีกครั้ง โดยได้สำรวจความพร้อมของอาคารด่านพรหมแดนสิงขร ซึ่งปัจจุบันสร้างเสร็จแล้วเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบบุุคคล การออกบัตรผ่านแดนและบัตรผ่านแดนชั่วคราว รวมถึงการตรวจพืช ตรวจสัตว์ และสิ่งของข้ามแดน

โดยขณะนี้ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือแนวทางปฏิบัติของการเดินทางข้ามแดน เช่น มาตรการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ระยะเวลาการอยู่พำนักของชาวเมียนมาที่เข้ามาในไทย จากนั้นจะมีการประสานกับทางการเมียนมาเพื่อทำความตกลงร่วมกันต่อไป คาดว่าหากเปิดด่านสิงขรเต็มรูปแบบแล้วจะสร้างมูลค่าเศรษฐกิจการค้าชายแดนได้เป็นอย่างมาก หลังจากเมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด -19 เคยมีมูลค่าการนำเข้าส่งออกสินค้าผ่านด่านสิงขรรวมกว่าพันล้านบาท

ที่มา : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220913090615824

Q 2 ของงบประมาณย่อย 64-65 เมียนมาส่งออกสินค้า CMP คิดเป็น 26% ของรายได้การส่งออกสินค้าทั้งหมด

กระทรวงการวางแผนและการคลังของเมียนมา เผย การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตแบบการตัด การผลิต และบรรจุภัณฑ์ (CMP) ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณย่อย 2564-2565 (เดือนต.ค. 2564 – เดือนมี.ค. 2565) คิดเป็น 26%  ของรายได้การส่งออกทั้งหมด ซึ่งไตรมาสที่ 1  ของงบประมาณรายย่อย เมียนมามีรายได้จากการส่งออกสินค้า CMP กว่า 1.055 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ส่วนไตรมาสที่ 2 สามารถทำรายได้อีกกว่า 1.174 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าสถานประกอบการหรือบริษัทที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมากต้องประสบปัญหาทางด้านการเงินจากวิกฤตโควิด-19 และปัญหาทางการเมืองในประเทศ แต่ขณะสถานการณ์ของธุรกิจกำลังกลับสู่ภาวะปกติหลังจากเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับแรงงาน ทั้งนี้ภาคการผลิตของเมียนมาส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่มีการผลิตแบบ CMP และเป็นส่วนสำคัญของ GDP ของประเทศ ซึ่งตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ จีน และสหรัฐอเมริกา

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/cmp-constitutes-26-of-overall-export-values-in-q2-of-mini-budget-period/#article-title

ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในเมียนมาปรับตัวลดลง 2 วันติด

ราคาขายน้ำมัน ณ เมืองย่างกุ้งที่ขายในวันที่ 9 กันยายน 2565 ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2  โดยราคาน้ำมันเบ็นซิน 92 ลดลงเหลือ 2,310 จัตต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาลดลงเลือ 2,485 จัตต่อลิตร ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินลดลงมากกว่า 100 จัตต่อลิตร ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงเพียง 10 จัตต่อลิตร ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงภายหลังมีข่าวว่าธนาคารกลางเมียนมาจัดหาเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อพยุงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงเนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศประมาณร้อยละ 90 เพื่อบริโภคภายในประเทศ และผลิตเองได้เยงร้อยละ 10 เท่านั้น ทั้งนี้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ประธานสภาการวางแผนและบริหารแห่งรัฐ เปิดเผยว่า เมียนมากำลังวางแผนที่จะซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากรัสเซียเพื่อให้เพียงพอกับการใช้ในประเทศ

ที่มา: https://news-eleven.com/article/237107

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เมียนมาพุ่งขึ้น จากความต้องการที่ต่ำลง กระทบ ต่ออุตสาหกรรมขนส่งสินค้า

การขนส่งสินค้าปกติของเมียนมาจะลดลงในฤดูมรสุม แต่ในปีนี้ ด้วยปริมาณการขนส่งสินค้าที่ลดลง ความล่าช้าในจากการจราจรในบางเส้นทาง และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลเสียต่อการบริการขนส่งสินค้าของรถบรรทุกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น ปริมาณการขนส่งสินค้าที่มีสั่งซื้อจากเมืองย่างกุ้งและเมืองอื่นก็ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง อีกทั้ง การส่งมอบน้ำมันปาล์มจากย่างกุ้งไปยังภูมิภาคและรัฐอื่นๆ ลดลงมากกว่าครึ่ง นอกจากนี้ ในเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา รถบรรทุกที่เคยวิ่งรับส่งสินค้าในเมืองบุเรงนองจากเดิมที่เคยวิ่ง 10 เที่ยวต่อวัน ลดลงเหลือเพียง 4 เที่ยวต่อวันเท่านั้น

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/rising-commodities-prices-low-demand-affect-freight-forwarding-service/#article-title

5 เดือนแรกของปีงบฯ 65 เมียนมามีรายได้จากการส่งออกข้าว พุ่งแตะ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) เผย 5 เดือนที่ผ่านมา (เดือนเมย.-เดือนส.ค.2565) ของปีงบประมาณ 2565-2566 เมียนมาส่งออกข้าวและข้าวหักจำนวน 889,991 ตัน จากบริษัทผู้ส่งออกข้าวประมาณ 44 แห่ง ทำรายได้เข้าประเทศประมาณ 302 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย 731,590 ตันส่งออกผ่านทางทะเล ไปยังประเทศในแอฟริกาและสหภาพยุโรป ในขณะที่กว่า 158,400 ตัน ส่งออกผ่านชายแดนไปยังจีน ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมาเมียนมาส่งออกข้าวไปยัง 20 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นจีน (108,269 ตัน) และฟิลิปปินส์ (95,019 ตัน) ขณะที่ราคาข้าวเมื่อเดือนที่แล้ว ราคาข้าวเกรดพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้นเป็น 60,000-90,000 จัตต่อถุง ส่วนราคาข้าวเกรดต่ำจะอยู่ระหว่าง 35,500-50,000 จัตต่อถุง ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2563-2564 เมียนมาได้ส่งออกข้าวไปยังตลาดต่างประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/myanmar-earns-300-mln-from-rice-export-in-past-5-months/#article-title

เมียนมาส่งออกข้าวหักผ่านชายแดนมูเซไปจีนพุ่งสูงขึ้น

นาย อู มิน เต็ง รองประธานของ Muse Rice Commodity Exchange เผย รายได้จากส่งออกข้าวหักไปยังจีนผ่านชายแดนมูเซเพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าเงินจัตอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินหยวนของจีน ซึ่งการส่งออกข้าวหักไปจีนในแต่ละวันจะถูกลำเลียงผ่านชายแดนมูเซ – จี่งซานเจ้าะ ด้วยรถบรรทุกประมาณ 50 คัน โดยในตลาดชายแดน การส่งออกข้าวหักจะมีมากกว่าข้าวสารทั่วไป ซึ่งราคาข้าวหัก 50 กิโลกรัม ราคาจะอยู่ระหว่าง 140 -150 หยวน ส่วนราคาข้าวและข้าวหักในประเทศ มีแนวโน้วเพิ่มขึ้นตามราคาส่งออกข้าวหักที่สูงขึ้น

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/broken-rice-export-rising-through-muse-border/

5 เดือนแรกของปีงบฯ 65 – 66 เมียนมามีรายได้ส่งออกถั่วพุ่งแตะ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กระทรวงพาณิชย์เมียนมา (MoC) เผย รายได้จากการส่งออกถั่วในช่วง 5 เดือนของปีงบประมาณปัจจุบัน 2565-2566 (วันที่ 1 เมษายนถึง 26 สิงหาคม 2565) พุ่งไปถึง 513.347 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากปริมาณการส่งออกกว่า 660,806 ตัน ซึ่งที่ผ่านมา ในปีงบประมาณ 2563-2564 เมียนมามีรายได้จากการส่งออกถั่ว 1.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปริมาณการส่งออกทั้งสิ้นกว่า 2.02 ล้านตัน โดยเป็นการส่งออกทางเรือ 1.24 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 966.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทางชายแดนอีก 786,920 ตัน คิดเป็นมูลค่า 604.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้การเพาะปลูกถั่วของเมียนมาครอบคลุมพื้นที่ 20% ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด โดยมี ถั่วดำ ถั่วแระ และถั่วเขียวคิดเป็น 72% ของพื้นที่เพาะปลูกถั่ว ซึ่งภาคเกษตรกรรมถือเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจประเทศและสินค้าเกษตรหลักก็รวมอยู่ในสินค้าส่งออกหลักเมียนมาอีกด้วย

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/myanmar-bags-500-mln-from-export-of-various-pulses-in-nearly-5-months/

เมียนมาส่งมอบข้าว 1,000 ตัน ให้ศรีลังกาที่เผชิญวิกฤตทางเศรษฐกิจ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (วันที่ 2 กันยายน 2565) นาย U Aung Naing Oo รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของเมียนมา เป็นตัวแทนในการส่งออกข้าวให้กับศรีลังกาจำนวน 1,000 ตัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเป็นการช่วยเหลือศรีลังกาในช่วงที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ทั้งนี้ Mr. J.M. Bandara เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำเมียนมา ได้แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลเมียนมาสำหรับมิตรไมตรีในครั้งนี้

ที่มา: https://english.news.cn/asiapacific/20220903/bc3cadf399f344f392557d5b4c812e7d/c.ht

ราคาน้ำมันปาล์มเมียนมา พุ่งแตะ 5,000 จัตต่อ viss

คณะกรรมการกำกับดูแลการนำเข้าและจำหน่ายน้ำมันพืช เผย ราคาน้ำมันปาล์มขายส่งในตลาดย่างกุ้งพุ่งขึ้นเกือบ 5,000 จัตต่อ viss (viss เท่ากับ 1.6 กิโลกรัม โดยราคากลางได้กำหนด ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. ถึง 4 ก.ย.2565 อยู่ที่ 4,910 จัตต่อ viss ซึ่งเพิ่มขึ้น 50 จัต จากสัปดาห์ก่อนที่ 4,860 จัตต่อ viss ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เมียนมาได้ติดตามราคา FOB ในตลาดมาเลเซียและอินโดนีเซียอย่างใกล้ชิด รวมถึงค่าขนส่ง ภาษี และบริการด้านการธนาคาร และออกอย่างไรก็ตาม ราคาตลาดปัจจุบันสูงกว่าราคากลางเป็นอย่างมาก โดยจากรายงานพบว่าราคาน้ำมันปาล์มในตลาดพุ่งไปถึง 10,000 จัตต่อ viss เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ภาครัฐจึงร่วมมือกับสมาคมผู้ค้าน้ำมันเพื่อการบริโภคของเมียนมา ได้จัดรถโมบายออกจำหน่ายน้ำมันปาล์มราคาประหยัด เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน -ขณะที่ กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาย้ำว่าน้ำมันปาล์มมีเพียงพอต่อการบริโภคอย่างแน่นอน ทั้งนี้เมียนมาสามารถผลิตน้ำมันปรุงอาหารได้ประมาณ 400,000 ตันต่อปี แต่มีการบริโภคในประเทศถึง 1 ล้านตันต่อปี ทำให้ต้องนำเข้าจากมาเลเซียและอินโดนีเซียปีละประมาณ 700,000 ตัน

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/palm-oil-wholesale-reference-price-rebounds-to-nearly-k5000-per-viss/

YRIC รับรอง 4 บริษัทต่างชาติลงทุนในอุตสาหกรรม “CMP” คาด สร้างงานให้ชาวเมียนมาได้ถึง 2,369 ตำแหน่ง

คณะกรรมการการลงทุนเขตย่างกุ้ง (YRIC) ของเมียนมา ให้การรับรองบริษัทต่างชาติ 4 ราย เข้ามาลงทุนในภาคการผลิตของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยเน้นไปที่การผลิตสินค้าแบบตัดเย็บ หรือ CMP (Cut, manufacture and produce) ซึ่งได้แก่เสื้อผ้าสำเร็จรูป ด้วยเงินลงทุนประมาณ 5.143 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นได้ถึง 2,369 ตำแหน่ง ทั้งนี้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 (เดือนม.ค.- เดือนมิ.ย.) มีการลงทุนจากต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 159 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แบ่งเป็น จีน 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, ฮ่องกง 59 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, สิงคโปร์ 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, เกาหลีใต้ 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, ไต้หวัน 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอินโดนีเซีย 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/yric-endorses-4-foreign-manufacturing-projects-on-cmp-basis-with-2369-jobs/