อโกด้า ชี้ เชียงใหม่ครองอันดับ 1 ที่คนอยากเที่ยวในไทย

อโกด้า ชี้ ชาวไทยมีแนวโน้มสูงที่จะเที่ยวในประเทศ เชียงใหม่ครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม นายเออร์รอล คุก รองประธานฝ่าย Partner Services ของอโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว เปิดเผยผลการสำรวจจากแคมเปญ โกโลคอล ที่จัดทำขึ้นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศของหลายประเทศทั่วโลกพบว่า นักท่องเที่ยวไทย 78% อินโดนีเซีย 76% และสหรัฐอเมริกา 74% เป็น 3 ประเทศแรกที่อยากออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากที่สุด โดย 3 จุดหมายปลายทางยอดนิยมแรกของนักท่องเที่ยวไทย คือ เชียงใหม่ ภูเก็ต และหัวหิน  ผลการสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า 3 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวมีความพร้อมและอยากออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง นักท่องเที่ยวชาวเวียดนาม 87% อินโดนีเซีย 78% และไต้หวัน 59% เป็น 3 ชาติแรกที่อยากออกเดินทางมากที่สุด โดยรวมแล้ว ภายในช่วง 12 เดือนข้างหน้านี้ 65% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด อยากเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ส่วนอีก 35% อยากไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ ทั้งนี้ นักเดินทางไทย 41% สะดวกเดินทางในระยะเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวทั่วโลก 46% ตามมาด้วย 36% ที่เลือกเดินทาง 2 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่สูงที่สุดของโลก ในส่วนของวิธีเดินทาง นักท่องเที่ยวชาวไทย 50% เลือกการเดินทางด้วยเครื่องบิน และ 41% เลือกรถยนต์ส่วนตัว ส่วนในระดับนานาชาติ นักท่องเที่ยวทั่วโลกมากกว่า 1 ใน 4 รู้สึกสะดวกใจที่จะเดินทางในระยะเวลา 2 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า ตัวเลขนี้รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวอเมริกา 14% และไต้หวัน 15% โดยนักท่องเที่ยวจากสองชาตินี้ยังอยู่ในอันดับ 1 และ 3 ของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่พอใจจะเดินทางไม่เกิน 5-8 ชั่วโมง (อเมริกา 25%, ซาอุดีอาระเบีย 22% และไต้หวัน 19%) เนื่องจากพื้นที่อันกว้างใหญ่ของออสเตรเลียจึงไม่น่าแปลกใจที่นักท่องเที่ยวออสเตรเลียมีแน้วโน้มมากที่สุดที่จะเดินทางมากกว่า 8 ชั่วโมง  ส่วนวิธีการเดินทางนั้น นักท่องเที่ยวทั่วโลก 28% เลือกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว และ 57% เลือกที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน “ถึงแม้ผู้คนทั่วโลกจะต้องหยุดเดินทางท่องเที่ยวมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน แต่ความกระหายในการเดินทางนั้นไม่ได้ลดลง ที่จริงแล้วมันกลับเพิ่มมากขึ้น ขณะนี้การเดินทางในประเทศเป็นทางเลือกในการท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของผู้คนในหลายภูมิภาค ซึ่งส่วนมากต้องการออกสำรวจประเทศของตนเอง พักอาศัยในชุมชนท้องถิ่น โดยใช้เวลาเดินทางน้อยกว่า 4 ชั่วโมง” สำหรับเมืองต่างๆจึงต้องหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น เพื่อช่วยเติมเต็มช่องว่างของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป ในทางตรงกันข้าม จุดหมายปลายทางที่โด่งดังในระดับภูมิภาคที่ใกล้ชายหาด ธรรมชาติ หรือพื้นที่ชนบท ก็มีโอกาสได้รับประโยชน์จากเทรนด์การท่องเที่ยวนี้ อีกทั้งนักท่องเที่ยวก็มีโอกาสได้ช่วยสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบด้วย

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/790167

เวียดนามแซงหน้าไทยด้านราคาส่งออกข้าว

สำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนามในประเทศไทย เปิดเผยว่าข้าวขาวหัก 5% ต่อตันในเวียดนาม ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 15 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าชนิดเดียวกันจากไทยในตลาดโลก ซึ่งเมื่อวันที่ 8 สิ.ค. ราคาข้าวอยู่ที่ประมาณ 478 – 482 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยราคาส่งออกข้าวของไทยที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านสูญเสียความันจากไทยในตลาดจากประเท562อน ความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ ในปัจจุบันตามระบบ FOB ชี้ให้เห็นว่าราคาข้าวหัก 5% ของไทยอยู่ที่ 460 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สูงกว่าข้าวอินเดียราว 90 ดอลลาร์สหรัฐ และสูงกว่าข้าวเวียดนามราว 8 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยเร่งพิจารณาปรับนโยบายการส่งออกข้าว เพื่อที่จะฟื้นฟูการส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ได้แก่ เวียดนามและอินเดีย โดยจะมุ่งเน้นในการตลาด การลดต้นทุนการผลิตและการวิจัยสายพันธุ์ข้าวใหม่ นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ไทยยังร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าว เพื่อที่จะหาพาร์ทเนอร์รายใหม่ในการขยายตลาด อย่างไรก็ตาม กรมแปรรูปและพัฒนาตลาด ระบุว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 3.9 ล้านตัน มูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ด้านปริมาณ ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน, ด้านมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน)

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-outstrips-thailand-in-rice-export-price-417219.vov

หลักชัยเมืองยาง’พร้อมรับทุนตั้งโรงงานถุงมือ 2 หมื่นล้าน

“หลักชัยเมืองยาง”พร้อมรับนักลงทุนตั้งโรงงานถุงมือ 2 หมื่นล้านบาท “ไทยฮั้ว” คาดแล้วเสร็จอีก 5เดือน ทำราคายางปรับตัวสูงขึ้นยาวถึงสิ้นปี แต่ไม่ถึงกก.ละ 70บาท บริษัท ไทยเบคก้า เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จ.ระยอง เปิดเผยว่า นิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จึงมีนักลงทุนหลายประเทศรวมทั้งไทยสนใจเข้ามาตั้งโรงงานอุตสาหกรรมถุงมือยาง ในเร็วๆนี้ บริษัทไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) จะร่วมทุนด้วย คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการ 3-5 เดือน และติดตั้งเครื่องจักรได้แล้วเสร็จ ส่วนนักลงทุนต่างประเทศที่อยู่ระหว่างเจรจา เช่น สหภาพยุโรป(อียู) สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น เป็นต้น วงเงินลงทุนรวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ต้องการตั้งโรงงานขนาดกลางวงเงินลงทุนเฉลี่ยโรงงาน 5,000 ล้านบาท ส่วนปัจจัยที่ต่างประเทศสนใจตั้งโรงงานในไทย เพราะมีวัตถุดิบพร้อม ระบบการขนส่งดี แม้จะมีปัญหาค่าแรงสูง แต่การผลิตถุงมือยางส่วนใหญ่ใช้เครื่องจักร อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐบาลสนับสนุนด้านการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อยากมาก ทั้งนี้ ราคายางในประเทศปรับตัวสูงขึ้น ต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย. เป็นต้นมา เฉลี่ยประมาณ 40-45 บาท ต่อกิโลกรัม(กก.) แนวโน้มคาดว่าจะปรับสูงขึ้นแตะ 50 บาทต่อกก. จนถึงสิ้นปีนี้ แต่จะไม่สูงถึง70-80 บาทต่อกก. เหมือนในอดีต เพราะอุตสาหกรรมหลักที่เป็นตัวขับเคลื่อน คือยางล้อ ยังซบเซา สำหรับการจัดตั้งโรงงานถุงมือยางของการยางแห่งประเทศไทย (กยท. )ในจ.นครศรีธรรมราช โดยการร่วมทุนกับเอกชน สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน นั้น มีความเป็นไปได้ยาก องค์กรเหล่านี้ไม่มีเงินทุน อีกทั้งการตั้งโรงงานต้องอาศัยความคล่องตัว คิดแล้วดำเนินการทันที เนื่องจากมีการแข่งขันสูง ซึ่งหลังจากปี 2564 มีความเสี่ยงสูงมากที่ถุงมือยางจะล้นตลาด

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/892844?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

กระทรวงพาณิชย์เมียนมาเผยการส่งออกข้าวโพดมีแนวโน้มดีขึ้น

ในขณะที่ความต้องการของต่างประเทศในนำสินค้าอุปโภคของเมียนมาบางส่วนในปีนี้ลดลงต่ำกว่าที่คาดไว้ในปีนี้เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 แต่การส่งออกพืชผลหลายชนิดยังคงเพิ่มขึ้นและบางส่วนก็ดูมีแนวโน้มดี กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า การส่งออกข้าวโพดเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 เมื่อเทียบเป็นรายปีในปีงบประมาณปัจจุบันและแนวโน้มการเติบโตดูสดใส การส่งออกในปีนี้อยู่ที่ 2.5 ล้านตันเทียบกับ 1.5 ล้านตันในปีที่แล้ว โดยปกติแล้วข้าวโพดจะส่งออกไปยังจีน แต่ความต้องการจากไทยเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 2562-2563 กว่าร้อยละ 60 ของการส่งออกข้าวโพดในปีนี้ผ่านชายแดนท่าขี้เหล็กและเมียวดี ความต้องการจากประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและฟิลิปปินส์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน  ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากำลังเชื่อมโยงเกษตรกรกับธนาคารเพื่อหาทุนในการปลูก ส่วนพืชอื่น ๆ ของที่มีความต้องการในต่างประเทศมากคืออะโวคาโด ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากสิงคโปร์และจีน โดยอะโวคาโดพันธุ์แฮส (Hass) เป็นอะโวคาโดที่ปลูกกันมากที่สุดในโลก ซึ่งมักจะพบทางตอนใต้ของรัฐฉาน และถือว่าอะโวคาโดพันธุ์แฮส (Hass) มีสัดส่วนร้อยละ 80 ของอะโวคาโดที่บริโภคกันทั่วโลก การปลูกอะโวคาโดในปีนี้ประสบความสำเร็จและล่าสุดจีนเสนอให้นำเข้า 500 ตันต่อปี และสิงคโปร์ 15 ตันต่อสัปดาห์เช่นกัน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/commerce-ministry-myanmar-says-corn-exports-very-promising.html

เร่งจัดอีเว้นท์ออนไลน์เพิ่มมูลค่าส่งออก

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเร่งสนองนโยบายจุรินทร์ สั่งทูตพาณิชย์จัดกิจกรรมออนไลน์ดันส่งออกไทยฝ่าวิกฤติโควิด-19 โดยมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ(สคต.) เพิ่มการจัดกิจกรรมทำตลาดส่งออกในต่างประเทศรูปแบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้นตามนโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลก เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยและเกษตรกร โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร เกษตรแปรรูป อาหารและอื่นๆ ให้มีช่องทางในการขยายตลาดในสถานการณ์ที่ทั่วโลกประสบปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19  เน้นการจัดงานแสดงสินค้ารูปแบบออนไลน์ และการเจรจาจับคู่ธุรกิจไทยกับผู้นำเข้าจากต่างประเทศ การจัดกิจกรรมโปรโมทสินค้าและภาพลักษณ์สินค้า และการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในต่างประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ได้เร่งเปลี่ยนบทบาทของทูตพาณิชย์ เป็นเซลล์แมนประเทศมาก เพื่อขยายการค้าและช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ  พร้อมทั้งยังเร่งดำเนินการให้ไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ในภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาผู้ประกอบการไทยในเรื่องธุรกิจดิจิทัลคอนเทนท์ จนสร้างโอกาส และเร่งขยายตลาดไปได้มากในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ กัมพูชา ญี่ปุ่น เมียนมา สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ล่าสุดก็ได้จัดงานแสดงสินค้าออนไลน์ดิจิทัลคอนเทนท์แบบครบวงจรของไทย โดยจัดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี 

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/789001

ไทยเรียกร้องหน่วยงานสปป.ลาวศึกษาผลกระทบเขื่อนชนะคาม

รองนายกรัฐมนตรีประวิทย์วงษ์สุวรรณวอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือและหาแนวทางในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการเขื่อนชนะคามในสปป.ลาว ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของเขื่อนเนื่องจากอยู่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตรดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับคำสั่งให้มุ่งเน้นและวิเคราะห์ผลกระทบของเขื่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความสมบูรณ์ของโครงสร้างถึงแม้โครงการดังกล่าวจะเป็นของสปป.ลาว แต่เพื่อร่วมกันจัดการแม่น้ำโขงในลักษณะที่ยั่งยืนในฐานะทรัพยากรร่วมประเทศสมาชิกที่วางแผนจะสร้างโครงการตามแม่น้ำโขงต้องดำเนินการปรึกษาหารือล่วงหน้ากับผู้อยู่อาศัยและหน่วยงานท้องถิ่นก่อน เขื่อนชนะคามเป็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ 6 โครงการล่าสุดที่รัฐบาลสปป.ลาววางแผนไว้ ผู้พัฒนาคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างเขื่อนได้ในปีนี้ เมื่อเขื่อนนี้แล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 684 เมกะวัตต์จะมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (62.4 พันล้านบาท) และจะขายไฟฟ้าที่ผลิตให้ประเทศไทยเป็นหลัก 

ที่มา : https://www.bangkokpost.com/thailand/general/1962023/agencies-told-to-find-ways-to-mitigate-laos-dam-impact

บีโอไอนำผู้ประกอบการไทยจับมือรับช่วงผลิตกับบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์

นางสาวซ่อนกลิ่น  พลอยมี ผู้อำนวยการกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน (BUILD) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 3 จากซ้าย) จับมือกับสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย และบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้ประกอบการ SMEs ไทยเข้าเยี่ยมชมสายการผลิต พร้อมรับฟังนโยบายการจัดซื้อชิ้นส่วนจากบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก เช่น อีวี ชาร์จเจอร์ สวิชชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย และให้บริการการจัดการระบบความร้อนและกำลังไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ เป็นต้น โดยกิจกรรมนี้จะก่อให้เกิดการสั่งซื้อชิ้นส่วนระหว่างผู้ประกอบการ SMEs ไทย กับบริษัทเดลต้าต่อไป

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/444169?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=Macro_econ

เวียดนามอาจส่งออกข้าวแซงไทย

เวียดนามอาจส่งออกข้าวแซงไทยในปีนี้ เนื่องจากราคาที่แข่งขันกันได้และการยกเลิกโควต้าส่งออกข้าว โดยข้อมูลทางสถิติจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่าปริมาณการส่งออกข้าวของไทยอยู่ที่ 2.57 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 54.2 พันล้านบาท (1.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงร้อยละ 31.9 ในแง่ปริมาณ และร้อยละ 13.2 ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน ข้อมูลจากสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม (VCCI) ระบุว่าช่วงเวลาเดียวกันนั้น ปริมาณการส่งออกข้าวของเวียดนามอยู่ที่ราว 2.9 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ในแง่ปริมาณ และร้อยละ 18.9 ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ทั้งนี้ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยมองว่าในปีนี้ ปริมาณการส่งออกข้าวจะอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาและต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 7.5 ล้านตัน เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความต้องการทั่วโลกที่หดตัวลงจากการระบาดของไวรัส เงินบาทแข็งค่าและผลผลิตที่อยู่ในระดับต่ำ จากภัยแล้งที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ เป็นต้น นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA คาดว่าจะช่วยให้เวียดนามสามารถกระจายตลาดการส่งออกข้าวให้หลากหลายมากขึ้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-may-surpass-thailand-in-rice-export/179355.vnp

เวียดนามเผยยอดส่งออกผักผลไม้พุ่ง 230% ไปยังไทย

จากข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในเดือนมิ.ย. การส่งออกผักผลไม้ของเวียดนามไปยังไทย มีมูลค่ามากกว่า 11.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มูลค่าส่งออกรวมในช่วง 6 เดือนแรกอยู่ที่ 79.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลให้อัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 230 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 (23.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2562) ทั้งนี้ ในช่วงสิ้นเดือนมิ.ย. มูลค่าส่งออกรวมของเวียดนามไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 2.27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับปี 2562 โดยรายการสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ในขณะเดียวกัน สินค้าที่มีมูลค่าสูงสุด ได้แก่ โทรศัพท์และชิ้นส่วน ถึงแม้ว่ามูลค่าลดลงอย่างหนัก 430 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามมีมูลค่าการค้าผักผลไม้ดิ่งลงราว 408 ล้านดอลลาร์สหรัฐ “ปัจจุบันไทยเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ที่มา : https://customsnews.vn/exports-of-fruits-and-vegetables-to-thailand-surge-230-15268.html

อาเซียนถกแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด จ่อลงนามความตกลงยอมรับร่วมด้านยานยนต์ ส.ค.นี้

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เตรียมร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน หรือ SEOM ครั้งที่ 3/51 ผ่านระบบทางไกล หารือแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และมาตรการที่ออกมาใหม่ช่วงการแพร่ระบาด เตรียมพร้อมความตกลงยอมรับร่วม APMRA ให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจลงนามในเดือนสิงหาคม 2563 พร้อมถก 11 คู่เจรจา หาแนวทางจัดทำ FTA กับประเทศใหม่ๆ  และเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 52 ในเดือนสิงหาคม และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 ในเดือนพฤศจิกายน 2563 การประชุม ครั้งนี้ จะหารือประเด็นผลกระทบทางเศรษฐกิจตลอดจนแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังโควิด-19 รวมถึงมาตรการที่แต่ละประเทศออกมาในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ รวมทั้งหารือเรื่องการดำเนินงานของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และการเตรียมพร้อมเพื่อลงนามความตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียน (APMRA) ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจจะลงนามความตกลงร่วมกันในเดือนสิงหาคมนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่อาวุโสของอาเซียนจะพบกับ 11 คู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สหรัฐฯ แคนาดา อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รัสเซีย และสหภาพยุโรป รวม 12 การประชุม โดยจะหารือประเด็นสำคัญ เช่น การเปิดเสรีเพิ่มเติมภายใต้ความตกลงที่มีอยู่เดิมกับจีน ความเป็นไปได้ในการเจรจาทำความตกลง FTA ใหม่ๆ กับแคนาดาและสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย ที่มีรัสเซียเป็นหัวเรือใหญ่ รวมถึงความคืบหน้าความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน-สหรัฐฯ ความคืบหน้าการจัดทำขอบเขตการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป และการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านเศรษฐกิจกับญี่ปุ่น เป็นต้น ทั้งนี้ อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย โดยในปี 2562 การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่าการค้ารวม 107,928 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเกินดุล 17,880 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 62,904 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 45,024 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค. – พ.ค.) มีมูลค่าการค้ารวม 41,218 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอาเซียนมูลค่า 24,697 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอาเซียนมูลค่า 16,522 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสำคัญของไทยในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-493979