จีนได้ส่งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อร่วมต่อสู้ Covid-19 ในสปป.ลาว

ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ชาวจีนเดินทางมาถึงเมืองหลวงพระบางและเมืองจำปาสักเพื่อร่วมต่อสู้กับการระบาดของโรค Covid-19 หลังจากก่อนหน้านี้ได้ไปช่วยในนครหลวงเวียงจันทน์ งานหลักของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จีนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการตรวจสอบและประเมินผลในพื้นที่เสี่ยงของทั้งสองเมืองและจะมีการฝึกอบรมระยะสั้นหลักสูตรที่เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย Covid-19 ที่เหมาะสมแก่แพทย์และพยาบาลสปป.ลาวทั้งนี้การได้รับความช่วยเหลือจากทางการจีนจะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ของสปป.ลาวดีขึ้นจากประสบการณ์ของทีมแพทย์และเครื่องมือที่ทันสมัยที่จะทำให้ระบบสาธารณสุขของสปป.ลาวดีขึ้น

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Chinese_8Arp.php

เจ้าหน้าที่ของนครหลวงเวียงจันทน์คุมเข้มราคาสินค้าในช่วงวิกฤตการณ์ COVID-19

การแพ่ระบาดของไวรัส covid-19 ในสปป.ลาวทำให้รัฐบาลต้องมีมาตราการต่างๆออกมาเพื่อควบคุมอย่างล่าสุดได้ออกมาตราการ lockdown ในจังหวัดต่างๆ และให้ประชาชนกักตัวตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน -19 เมษายน ทำให้ประชาชนบ้างส่วนมีการกักตุนสินค้าซึ่งทำให้มีผู้ประกอบการบางรายมีการขึ้นราคาสินค้าเกินความเหมาะสม โดยเฉพาะสินค้าที่นิยมอย่างเนื้อหมูที่ประชาชนสปป.ลาวนิยมบริโภคกัน ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดราคาขายปลีกที่ 40,000 kip / kg สำหรับ type 1 (filet และ ribs) และ 38,000 kip / kg สำหรับ type 2 (เบคอนและชิ้นส่วนไขมัน) หากมีร้านค้าใดฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีทั้งปรับและจำคุก ซึ่งมีการตรวจตราจากเจ้าหน้าที่ของภาครัฐอย่างเข้มงวด และประชาชนสามารถแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงการละเมิดราคาได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย

ที่มา : https://laotiantimes.com/2020/04/08/vientiane-economic-officials-patrol-wet-markets-enforces-price-controls/

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวถึงกัมพูชาต้องเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนเรียกร้องให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในภาคเกษตรในประเทศ ส่งเสริมภาคเกษตรที่สำคัญ ให้มีอาหารเพียงพอต่อคนในประเทศเพื่อการบริโภครวมถึงการส่งออก โดยนายกฮุนเซนได้สั่งให้กระทรวงเกษตรป่าไม้และการประมง รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ให้ความสนใจมากขึ้นในด้านการเกษตร ปศุสัตว์ การประมงและผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของประเทศ ในขณะที่เสาหลักเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมอื่นๆ อยู่ในความซบเซาเนื่องจากการระบาดของโรคโคโรนาไวรัสในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อภาคส่วนอื่นๆ รวมถึงด้านบริการการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมและการก่อสร้าง แต่ถือเป็นโอกาสสำหรับภาคการเกษตรในการมองหามาตรการ เพื่อกระตุ้นการผลิตทำให้กัมพูชาพึ่งพาตนเองแทนการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ ซึ่งการบริการการท่องเที่ยวและภาคอุตสาหกรรมมีการเติบโตที่สูงเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่ภาคเกษตรมีการเติบโตเพียงเล็กน้อย แต่ในปีนี้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมการเกษตร

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/710823/cambodia-must-boost-agricultural-output-says-prime-minister-hun-sen/

แรงงานกัมพูชากว่า 5 แสนคนคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกคำสั่งซื้อ

สมาคมผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปในกัมพูชา (GMAC) ระบุว่าประมาณ 60% ของโรงงานได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากคำสั่งซื้อที่ถูกยกเลิก เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยเลขาธิการ GMAC กล่าวว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่ได้ยกเลิกคำสั่งซื้อจากโรงงานในกัมพูชาไปบ้างแล้ว ซึ่งคำสั่งยกเลิกส่วนใหญ่มาจากทั้งตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปคิดเป็น 28% และ 46% ของตลาดส่งออกของกัมพูชาตามลำดับ หากทำคำนวณตัวเลขดังข้อมูลข้างต้นจะได้ 74% จากจำนวนพนักงานประมาณ 750,000 คนในภาคการ์เม้นท์ซึ่งเท่ากับพนักงานประมาณ 500,000 คนที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าเหล่านี้ ในปี 2019 การส่งออกเสื้อผ้ารองเท้าและสินค้าการท่องเที่ยวของกัมพูชามีมูลค่าถึง 9.35 พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบเป็นรายปีจากรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและหัตถกรรม

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50710646/half-a-million-workers-already-affected-by-cancelled-orders/

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ คาดชั่วโมงทำงานทั่วโลกลดลง 6.7% เหตุ COVID-19

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ไอแอลโอ (ILO) คาดการณ์ว่า การระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 จะทำให้ชั่วโมงการทำงานของแรงงานทั่วโลก ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ลดลง 6.7% หรือเทียบเท่ากับเวลาการทำงานของลูกจ้างที่ทำงานเต็มเวลา 195 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น อาเซียน และ ออสเตรเลีย หรือคิดเป็นเวลาการทำงานของแรงงานในภูมิภาคนี้ประมาณ 125 ล้านคน แม้ว่าแรงงานในประเทศจีนจะเริ่มกลับไปทำงานแล้ว โดยในรายงานฉบับนี้ ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้ แรงงานมากกว่า 4 ใน 5 ของแรงงานทั่วโลกอาศัยอยู่ในเมืองที่รัฐบาลออกคำสั่งให้ปิดสถานที่ทำงานเต็มเวลาหรือปิดบางเวลา โดยภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ธุรกิจการบริการ ห้องพัก ร้านอาหาร โรงงาน และ ร้านค้าปลีก นอกจากนี้ ไอแอลโอ (ILO) ยังร้องขอให้รัฐบาลแต่ละประเทศออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนตกงาน พร้อมทั้งแนะนำมาตรการเพื่อแก้ปัญหา เช่น การลดเวลาการทำงาน และมาตรการว่างงานเชิงเทคนิค เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไอแอลโอ (ILO) ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ไม่ได้ประเมินจำนวนของผู้ที่คาดว่าจะตกงานจากวิกฤตครั้งนี้ แต่คาดว่า น่าจะมากกว่า 25 ล้านคน ตามที่ประเมินไว้เมื่อเดือนที่แล้ว

ที่มา : https://businesstoday.co/cover-story/08/04/2020/ilo-%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b9%8c%e0%b9%84%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%94-19-%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87/

การเติบโตที่แข็งแกร่งของสถาบันทางการเงินรายย่อยที่จดทะเบียนใน CSX

Hattha Kaksekar Ltd และ บริษัท LOLC กัมพูชา จำกัด (มหาชน) ทั้งสองบริษัทได้รายงานการเติบโตของผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปีที่แล้วตามรายงานประจำปีที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ท้องถิ่น โดย LOLC กัมพูชารายงานการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ 61% และยอดเงินฝากเพิ่มขึ้น 95% ซึ่งรวมถึงผู้กู้ที่เพิ่มขึ้น 25% และผู้ฝากเงินเพิ่มขึ้น 86% นอกจากนี้บริษัทกล่าวว่าได้รับส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 10.6% โดย LOLC กำลังมองหาวิธีที่จะเติบโตผ่านกลยุทธ์ของการขยายจำนวนผู้กู้และปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อโดยมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก ส่วนประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Hattha Kaksekar Ltd (HKL) กล่าวว่าบริษัทของเขาวางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้พร้อมประกาศแผนการเปลี่ยนบริษัทจากสถาบันรับฝากเงินรายย่อยสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์ โดยในเดือนตุลาคมปีที่แล้วธนาคารแห่งชาติกัมพูชาอนุมัติคำขอของบริษัทในการเพิ่มทุนจาก 75 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 115 ล้านเหรียญสหรัฐ จากรายงานประจำปีพอร์ตสินเชื่อของ HKL สูงกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐและยอดเงินฝากมีมูลค่า 599 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีสาขา 177 สาขาและตู้เอทีเอ็ม 137 แห่งทั่วประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50710321/csx-listed-microfinance-institutions-record-a-very-strong-yearly-growth/

ผู้อำนวยการ NBC กล่าวถึงสกุลเงินเรียลและดอลลาร์ในช่วง Covid-19

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ได้เรียกร้องให้สาธารณชนเพิ่มการใช้สกุลเงิน riels เพื่อช่วยให้ธนาคารกลางใช้สกุลเงินท้องถิ่นของประเทศเป็นเครื่องมือในการกำหนดมูลค่าและอัตราดอกเบี้ยให้มีเสถียรภาพในตลาดในช่วงวิกฤตการณ์ COVID-19 โดยทั่วไปเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นให้สถาบันสินเชื่อดำเนินการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้การปล่อยสินเชื่อภาครัฐในอัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างต่อเนื่อง นี่คือสาเหตุที่ธนาคารกลางเสนอสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนให้ชาวกัมพูชานำเงินออกไปใช้ในระบบให้เป็นสกุลเงินท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีนโยบายเหล่านี้สินเชื่อบนสกุลเงิน riels ได้ลดลงจาก 25% ในปี 2559 เหลือ 10% ในปี 2563

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50710320/nbc-director-general-explains-economics-of-riels-and-dollars-during-the-covid-19-crisis/

CKPower บริจาคเงิน 1 ล้านบาทสนับสนุนการต่อสู้กับ COVID-19

บริษัท ซีเคพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) CKPower)และบริษัทในเครือร่วมกับบริษัท ช. การช่าง (ลาว) จำกัดบริจาคเงิน 1 ล้านบาทให้กระทรวงสาธารณสุขสปป.ลาว ผ่านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียงจันทน์เพื่อแสดงความปรารถนาดีและความห่วงใยต่อรัฐบาลสปป.ลาวในสถานการณ์แพร่ระบาดของCOVID-19 โดยนายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ CKPower กล่าวว่า“ CKPower ตระหนักถึงความจำเป็นในการช่วยเหลือรัฐบาลและภาครัฐในการหยุดการแพร่กระจายของไวรัส Covid-19 โดยเร็วที่สุด” ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของสปป.ลาวยังพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีมาตราการป้องกันต่างๆจากภาครัฐไม่ว่าจะเป็นการ LOCKDOWN จังหวัดต่างๆ รวมถึงการให้ประชาชนกักตัวที่บ้านก็ยังพบผู้ติดเชื้อเกิดขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นเงินสนับสนุนดังกล่าวจะเป็นกองทุนสำหรับการสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงเป็นกองทุนช่วยเหลือประชาชนสปป.ลาวในสถานการณ์นี้อีกด้วย

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_CKPower73.php

ผู้นำอาเซียนเตรียมประชุมทางไกลหารือสู้โควิด-19 สัปดาห์หน้า

ผู้นำประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน กำลังเตรียมจัดการประชุมทางไกลร่วมกันในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผยว่า การประชุมสุดยอดทางโทรศัพท์คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 14 เม.ย. พร้อมเสริมว่า อาเซียนซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 10 ชาติ กำลังพิจารณาที่จะจัดการประชุมทางไกลร่วมกับผู้นำญี่ปุ่น, จีน และเกาหลีใต้ด้วย โดยคาดว่านายหลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน, นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และประธานาธิบดีมูน แจ อิน ของเกาหลีใต้ จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดทางไกลอาเซียน+3 ครั้งนี้ บรรดาผู้นำจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส, การใช้มาตรการป้องกัน และการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา เวียดนามซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปีนี้ได้แจ้งแก่ประเทศสมาชิกว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนซึ่งเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพนั้น จะเลื่อนจากเดือนเม.ย. ไปเป็นช่วงปลายเดือนมิ.ย. สำหรับการประชุมสุดยอดสหรัฐ-อาเซียนนัดพิเศษซึ่งเดิมมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนมี.ค. ที่นครลาสเวกัส ได้ถูกเลื่อนออกไปเช่นกัน เนื่องจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทั้งนี้ กลุ่มสมาชิกอาเซียนประกอบด้วยบรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว พม่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2020/11643

กระทรวงเสนอให้กลับมาส่งออกข้าว

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) เรียกร้องให้รัฐบาลกลับมาดำเนินการส่งออกข้าวอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ต้องจำกัดปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 800,000 ตัน ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ทางกระทรวงฯ เสนอให้อนุมัติการส่งออกข้าวได้ แต่ต้องควบคุมเรื่องโควตาต่อเดือนอย่างเข็มงวด หลังจากพิจารณาความมั่งคงทางด้านอาหารแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนดังกล่าวนั้นเป็นไปตามคำประกาศอย่างเป็นทางการจากกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท เกี่ยวกับปริมาณส่งออกข้าวพันธุ์ฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ อยู่ที่ 3.2 ล้านตัน ซึ่งปริมาณข้างต้นเป็นส่วนที่เหลือจากการบริโภคและสำรองในประเทศแล้ว สำหรับการขนส่งจะเป็นในรูปแบบการค้าผ่านชายแดนระหว่างประเทศ ได้แก่ ทางถนน ทางรถไฟ ทางทะเลและทางอากาศ นอกจากนี้ กระทรวงฯ กำหนดให้ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุด 20 ราย มาลงนามข้อตกลงกับระบบการจำหน่ายสินค้า เพื่อให้แน่ใจว่าการสำรองอาหารนั้นจะเพียงพอ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/trade-ministry-proposes-resuming-rice-exports/171350.vnp