สปป.ลาวนำระบบ Single National Window (LNSW) จัดการกับการค้าชายแดน

ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมยานพาหนะนำเข้าและส่งออกทั้งหมดจะต้องบันทึกไว้ภายใต้ระบบ Single National Window (LNSW) ของสปป.ลาวที่จุดตรวจสะพานมิตรภาพลาว – ​​ไทยเพื่อส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านระบบ One-Stop Tax รวมถึงระบบการชำระเงินออนไลน์ การดำเนินการของระบบทั้ง 2 เป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์เพื่อทำให้ภาคศุลกากรทันสมัยเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนนอกจากนี้ระบบดังกล่าวจะเข้ามาช่วยทำให้ขั้นตอนต่างๆในการทำเอกสารให้เร็วขึ้นจากที่เคยต้องใช้เจ้าหน้าที่จนเกิดความล่าช้าในการทำการค้าทั้งนี้ระบบจะทำให้การค้าเกิดประสิทธิภาพสูงสุดรวมถึงการจัดเก็บภาษีของภาครัฐก็เก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้ง่าย ถือเป็นรากฐานที่ดีของการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนประเทศ  

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-vehicle-imports-exports-be-processed-using-single-customs-window-114153

อันดับด้านฐานะศูนย์กลางการขนส่งของกัมพูชายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

การได้รับการจัดอันดับของกัมพูชาดีขึ้นเล็กน้อยในฝั่งของดัชนีระดับโลกของตลาดโลจิสติกส์ที่เกิดขึ้นใหม่ในปีนี้เพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับเมื่อเทียบกับการสำรวจเดียวกันในปีที่แล้วจากลำดับ 42 เป็น 41 จาก 50 ประเทศที่รวมอยู่ในการจัดลำดับ โดยการสำรวจจัดทำโดย Agility ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำของโลก เคยดำเนินการสำรวจครั้งแรกในปี 2551 และได้เผยแพร่ผลการวิจัยในทุกๆปี โดยการศึกษานี้เกี่ยวข้องกับประเทศที่ถูกพิจารณาว่าเป็นตลาดโลจิสติกส์ ในปีนี้กัมพูชาได้คะแนน 4.36 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) ซึ่งอยู่ในอันดับเดียวกับยูกันดา โดยกัมพูชามีโอกาสในการขนส่งระหว่างประเทศดีที่สุด (4.46) ในขณะที่คะแนนต่ำสุดอยู่ที่ (4.19) ในบรรดา 50 ประเทศในการสำรวจกัมพูชาอยู่ในอันดับที่ 49 ในด้านโอกาสในการขนส่งภายในประเทศอันดับที่ 33 ด้านโอกาสด้านการขนส่งระหว่างประเทศและอันดับที่ 36 ในด้านพื้นฐานธุรกิจ ซึ่งมีการจัดอันดับตามปัจจัยสามประการ โอกาสในการขนส่งภายในประเทศ, โอกาสในการขนส่งระหว่างประเทศและปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50692512/cambodias-ranking-as-a-logistics-hub-remains-stable

รัฐบาลกัมพูชาตั้งเป้าจัดเก็บภาษีให้ได้ 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ

กรมสรรพากร (GDT) ประกาศว่ามีเป้าหมายที่จะรวบรวมรายได้จากภาษี 2,886 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้โดยในเดือนมกราคมมีการเก็บภาษีไปแล้วประมาณ 239 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งคิดเป็น 8.3% ของเป้าหมายประจำปีและเพิ่มขึ้น 14.75% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งผู้อำนวยการ GDT กล่าวว่าเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามเป้าหมายในปี 2563 กรมฯจะดำเนินการอย่างเข้มงวดและดำเนินการตามการปฏิรูปนโยบายของรัฐบาล โดยการจัดเก็บภาษีที่ดีขึ้นเกิดมาจากการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีใหม่ร่วมด้วย ท่ามกลางมาตรการที่ดำเนินการในปีนี้คือการหลีกเลี่ยงภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์เฉพาะ รวมถึงวัสดุก่อสร้าง ปูนซีเมนต์และน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งรัฐบาลมีรายได้ประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนจากรายได้ที่มาจากภาษีและไม่ใช่ภาษีโดยระบุว่าประเทศสามารถประหยัดได้ 100 ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนจากการจัดเก็บภาษี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50692368/stricter-tax-collection-puts-2-9-billion-target-in-sight

รัฐบาลกำหนดมาตรการเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ

รัฐบาลสปป.ลาวจะมีมาตราการในการลดอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจสำหรับนักธุรกิจในสปป.ลาวรวมถึงนักลงทุนต่างชาติ นายสมดีดวงดีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าว่ารัฐบาลมุ่งมั่นที่จะอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจโดยขจัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและอุปสรรคอื่น ๆที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจออกไป ทั้งนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการอย่างแข็งขันและจะเริ่มดำเนินการเชิงรุกมากขึ้นในปี 2563 เพื่อเพิ่มเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคและการเติบโตของเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาธุรกิจในประเทศ โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงการเงินสำหรับ SMEs รวมถึงการลดเวลาที่ใช้ในการจดทะเบียนธุรกิจเพื่อสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในสสป.ลาวและผู้ประกอบการสปป.ลาว การดำเนินมาตรการดังกล่าวจะเริ่มใช้อย่างจริงจังในปีนี้เพื่อเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนธุรกิจในสปป.ลาวให้มีการเติบโตและภาคธุรกิจจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจต่อไป

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/govt-drawing-measures-improve-business-environment-114030

สมาร์ทคอนกรีตโตรับอีอีซี คาดปี 63 ก่อสร้างขยายตัว

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูง เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2563 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี จากนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ผลักดันให้เกิดการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า โครงการเมกะโปรเจค งานโครงการก่อสร้างภาครัฐ และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยลงทุนในโครงการใหม่ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ บริษัทมีแผนเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งมุ่งเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline ) เพื่อกระตุ้นยอดขาย และสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ส่วนการขยายตลาดกลุ่มประเทศ CLMV บริษัทมีการส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกัมพูชาและสปป.ลาว เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยมีกระแสตอบรับที่ดี นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ 490 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% นอกจากนี้ ด้านผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2562 มีรายได้รวม 124.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.90 ล้านบาท หรือ 25.11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 99.18 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 20.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 2.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 867.53% โดยผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากปริมาณการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบาของโครงการเมกะโปรเจคภาครัฐ และโครงการก่อสร้างภาคเอกชน

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/866674?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

เวียดนามคาดความต้องการใช้ปูนซีเมนต์โต 4-5% ในปีนี้

จากข้อมูลของกระทรวงก่อสร้างเวียดนาม คาดความต้องการใช้ซีเมนต์ในปีนี้เติบโตร้อยละ 4-5 จากการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยความต้องการใช้ซีเมนต์คาดอยู่ที่ 101-103 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4-5 ในปีก่อน หากจำแนกแหล่งที่มาของการใช้ซีเมนต์ พบว่าปริมาณการใช้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศราว 69-70 ล้านตัน และส่งออกไปยังต่างประเทศ 32-34 ล้านตัน ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมวัสดุก่อสร้างคาดว่ามีปูนซีเมนต์อยู่ 2 สายการผลิตในปีนี้ ส่งผลให้จำนวนสายการผลิตซีเมนต์ทั้งหมดของเวียดนามอยู่ที่ 86 ของผลผลิตรวม หรือปริมาณผลผลิต 105.84 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้ยังคงอยู่ในสถานการณ์ปกติ/ไม่เปลี่ยนแปลงจากในปีก่อนและอาจชะลอตัว สำหรับอุปสรรคของผู้ประกอบการซีเมนต์ในปัจจุบัน ได้แก่ ราคาเชื้อเพลิงและค่าแรงงานที่สูงขึ้น รวมถึงประเด็นสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งมีการหยิบข้อเสนอการเก็บภาษีสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ผลิตซีเมนต์ นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ ระบุว่าการส่งออกซีเมนต์จากจีนและไทยจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น เวียดนามจะเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดโลก

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/592356/cement-demand-forecast-to-climb-4-5-this-year.html

“สนามบินก่าเมา” ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสาร 1 ล้านคนต่อปี

จากข้อมูลขององค์การบริหารการบินพลเรือนเวียดนาม (CAAV) ได้เตรียมยกระดับขีดความสามารถของสนามบินก่าเมา (Ca Mau) ที่อยู่ในทางตอนใต้ของเวียดนามและตั้งเป้ารองรับผู้โดยสาร 1 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2573 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สนามบินมีความจุเพิ่มขึ้นสองเท่าจากแผนก่อนหน้า เพื่อที่จะรองรับผู้โดยสาร 1 ล้านคนต่อปี สำหรับแผนการอนุมัติในปี 2557 ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ในแผนการปี 2573 นั้น จะได้รับใบอนุญาตประเภท 4-C Category ตามมาตรฐานขององค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และยังสามารถให้บริการสนามบินทหารได้

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/ca-mau-airport-planned-to-serve-1-million-passengers-per-year-410162.vov

แตงโมได้รับผลกระทบมากที่สุดหลังจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

การค้าระหว่างเมียนมาและจีนได้หยุดชะงักไปเกือบ 20 วันเนื่องจากไวรัสโคโรนา ที่มีแตงโมและแตงเมลอนได้รับผลกระทบมากที่สุด Facebook ของศูนย์ขายส่งกล่าวว่าจีนจะเปิดเส้นทางการขนส่งภายในไม่กี่วัน แต่ตลาดจะยังคงหายไปเจ็ดจังหวัดที่มีการระบาด จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่ารัฐบาลกำลังช่วยเหลือพ่อค้าในการหาตลาดท้องถิ่นและจำหน่ายในย่างกุ้ง แผนการตลาดในท้องที่นั้นรวมถึงการขายแตงในงานเทศกาลและตลาดในเมืองย่างกุ้งด้วยการเปิดร้านค้าในเขตเย่างกุ้งและการขายสินค้าแบบถึงมือผู้รับ (Door To Door) เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมูเซ (Muse 105th Mile Border Trade Zone) ออกแถลงการณ์ว่ามีความยากลำบากมากในการขายผลไม้เนื่องจากการจำกัดเส้นทางคมนาคมของจีนเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/melon-sales-most-affected-following-coronavirus-outbreak-in-china

สนามบินพะล่านพร้อมเปิดใช้งานเดือนพฤษภาคม

งานก่อสร้างของสนามบินพะล่าน (เซอบุ่ง) จะเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมและเครื่องบิน ATR-72 สามารถลงจอดที่สนามบินแห่งใหม่ได้ สนามบินตั้งอยู่ในใจกลางรัฐชินและเชื่อมต่อกับเมืองต่าง ๆ เช่น พะล่าน, เทือกเขาLonpi ,ฮ่าค่า , ทานตะลาน ตีเดนและทะเลสาบเรย เพื่อเข้าถึงสนามบินทั้งหมดในรัฐและภูมิภาค โครงการจะสร้างสนามบินพะล่านใหม่และเพื่อปรับปรุงสนามบินตั่งตแว โดยใช้งบประมาณของรัฐในปี 62-63 รันเวย์ยาว 6,000 ฟุต เทด้วยราดยางและคอนกรีต งานก่อสร้างอาคารสนามบินหอควบคุมการจราจรทางอากาศและอาคารบริการดับเพลิงเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้กระทรวงจะใช้งบ 141,112,000,000 จัตจากความช่วยเหลือจากต่างประเทศและสินเชื่อในปี 63-64 สนามบินถูกสร้างขึ้นเนื่องจากความลำบากของชาวบ้านในการขนส่งซึ่งเป็นเรื่องยากในฤดูฝน เมื่อสร้างเสร็จจะกลายเป็นประตูทางอากาศของรัฐชินและจะทำมีนักท่องเที่ยวเข้าถึงรัฐชินได้ในเวลาอันสั้น และสามารถส่งสินค้าของท้องถิ่นไปทั่วประเทศได้อย่างง่ายดาย

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/falam-airport-to-open-in-may

โซล่าฟาร์ม 5 แห่งใหม่กำลังดำเนินการเชื่อมต่อกับกริดแห่งชาติ

กระทรวงพลังงานและเหมืองแร่เปิดเผยว่าโซล่าฟาร์มจาก 5 จังหวัดจะเริ่มเปิดตัวในปีนี้ โดยในรายงานประจำปีระบุว่ากำลังเร่งงานก่อสร้างเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับกริดแห่งชาติให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จะช่วยเพิ่มแหล่งพลังงานของประเทศโดยรวม 160 เมกะวัตต์ (mW) ต่อปี โดยแบ่งเป็นจาก สวายเรียง 20 เมกะวัตต์, โพธิสัตว์ 30 เมกะวัตต์, กำปงสปือ 20 เมกะวัตต์, พระตะบอง 60 เมกะวัตต์ และ บันทายมีชัย 30 เมกะวัตต์ ซึ่งปีหน้าตามที่กระทรวงระบุประเทศจะเปิดตัวอีก 60 เมกะวัตต์ ในกำปงชนังและในจังหวัดโพธิสัตว์เพิ่มอีก 60 เมกะวัตต์ โดยรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายแหล่งพลังงานในประเทศเนื่องจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากกิจกรรมการลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการก่อสร้างและการผลิต ซึ่งจากการศึกษาล่าสุดของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียระบุว่ากัมพูชามีศักยภาพด้านพลังงานน้ำประมาณ 10,000 เมกะวัตต์, 8,100 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์และประมาณ 6,500 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานที่มาจากลม โดยกัมพูชาสร้างพลังงานทั้งหมดได้จาก 2,635 เมกะวัตต์ ในปี 2018 เป็น 3,382 เมกะวัตต์ ในปี 2019 เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50692029/five-new-solar-farms-to-be-connected-to-the-national-grid