สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาวเสริมสร้างความสัมพันธ์สภาธุรกิจจีน – อาเซียน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (LNCCI) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับสภาธุรกิจจีน – อาเซียน (CABC) ในการบันทึกความเข้าใจนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างทั้ง2ฝ่ายทั้งด้านการลงทุน การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและความร่วมมือเพื่อประโยชน์ในอนาคตปัจจุบันนักลงทุนจีนกำลังให้ความสนใจกับภูมิภาคอาเซียนรวมถึงสปป.ลาว โดยจีนเป็นกลุ่มนักลงทุนหลักของสปป.ลาว ธุรกิจที่ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากในสปป.ลาว ได้แก่ ไฟฟ้าพลังน้ำ การเกษตร การก่อสร้างการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ การลงทุนไม่เพียงแค่เข้าสู่ตลาดสปป.ลาว แต่ยังรวมถึงตลาดอาเซียนซึ่งมีมากกว่า 600 ล้านคน ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นผลดีแก่สปป.ลาวที่จะเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดรวมถึงพัฒนาการด้านเศรษฐกิจที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-national-chamber-commerce-and-industry-strengthens-ties-china-asean-business-council

สปป.ลาวคาดส่งออกไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 20,000 MW ภายในปี 2573

ไฟฟ้าถือเป็นรายได้ที่สำคัญสำหรับสปป.ลาว โดยในเดือนม.ค.-ต.ค. 62 มีมูลค่าการส่งออกไฟฟ้าประมาณ 1พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดที่สำคัญของสปป.ลาวคือประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน โดยมีการคาดการว่าสปป.ลาวจะส่งออกไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 20,000 MW ระหว่างปี 63-72 ปัจจุบันนอกจากความต้องการจากต่างประเทศมีมากแล้ว ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสปป.ลาวพิ่มขึ้นเนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและจำนวนโรงงานในปี 62 โดยการบริโภคภายในประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1,800 เมกะวัตต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากปริมาณความต้องการที่สูงขึ้นในพลังงานไฟฟ้า ทำให้รัฐบาลสปป.ลาววางแผนที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นและรองรับการเกิดโรงงานต่างๆในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะเพิ่มปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอีก เป็นผลให้ในปัจจุบันมีการเกิดขึ้นของโรงงานพลังงานไฟฟ้าจากทั้งภาครัฐและเอกชนจากทั้งในและนอกประเทศ ส่งเสริมทั้งการลงทุนและเกิดการจ้างงานที่มากขึ้นเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

ที่มา :http://annx.asianews.network/content/laos-export-20000-mw-electricity-2030-112058

กัมพูชาเพิ่มการลงทุนในโครงการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน

การลงทุนเกี่ยวกับการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานในประเทศกัมพูชาได้รับการส่งเสริมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการขยะในเมืองช่วยให้ประเทศสะอาดและสร้างพลังงานสำหรับกริดแห่งชาติได้ โดยมีการหารือระหว่างกระทรวงโดยส่วนใหญ่นำโดยกระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงสิ่งแวดล้อม โดยมีการหารือนโยบายกับผู้เข้าร่วมซึ่งรวมถึงหัวหน้ากระทรวงระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจและการเงินกระทรวงสิ่งแวดล้อมและศาลาว่าการกรุงพนมเปญ จากรายงานของกระทรวงสิ่งแวดล้อมพบว่ามีการรวบรวมและส่งขยะมูลฝอยกว่า 1.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งขยะมูลฝอยคิดเป็น 51% ของขยะทั้งหมดในปี 2561 โดยนโยบายการจัดการขยะในเมืองมีระยะเวลาตั้งแต่ 2562-2571 เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ระบุไว้คือควรมีการลงทุนเพื่อเปลี่ยนพลังงานจากขยะในเมืองซึ่งเป็นการพัฒนาใหม่สำหรับประเทศกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุนในการแปลงขยะเป็นพลังงานในการอภิปรายระหว่างบริษัทเชิงพาณิชย์กับกระทรวงและสถาบันของรัฐบาล โดยอัตราค่าไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอยู่ที่ประมาณ 0.14 – 0.15 เหรียญสหรัฐ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงที่ขายให้กับ EDC

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50679839/investment-on-waste-to-energy-boosted

กำหนดการจัดฟอรัมธุรกิจไทยในกัมพูชา

การรวมตัวกันของผู้นำธุรกิจที่พยายามกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาจะจัดขึ้นในกรุงพนมเปญ โดยฟอรัมไทยธุรกิจกัมพูชา 2020 จะจัดขึ้นในวันที่ 16 มกราคมที่โรงแรม Rosewood ตามประกาศอย่างเป็นทางการของสมาคมธุรกิจกัมพูชาและแฟรนไชส์ ​​(CamBFA) ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงาน โดย CamBFA ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้วเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรซึ่งพยายามที่จะส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการเป็นผู้ประกอบการผ่านแฟรนไชส์และการจับคู่แฟรนไชส์กับแฟรนไชส์ กลุ่มมีสมาชิกมากกว่า 80 ราย โดยในงานสัมมนาจะนำเสนอเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจในประเทศกัมพูชาและประเทศไทย คาดว่าจะมีตัวแทนจากนักธุรกิจไทยและกัมพูชาเข้าร่วม ซึ่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ WS Asia Pacific กล่าวว่าการรวมตัวกันนั้นดีสำหรับทั้งสองประเทศโดยจะเป็นการเชื่อมโยงผู้ประกอบการ SMEs บริษัท ใหญ่และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆในภาคการค้า สภาธุรกิจไทยแห่งกัมพูชารายงานว่าการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศมีมูลค่าสูงถึง 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ทั้งสองประเทศมีเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปี 2563

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50679838/thailand-cambodia-business-forum-slated

B คาดปี 63 พลิกมีกำไรสุทธิ จากวางเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 20% พร้อมรุกโลจิสติกส์ CLMV กลุ่มอีคอมเมิร์ช

“บี จิสติกส์” ลั่นผลงานปี 63 เทิร์นอะราวด์ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เหตุเทรนด์ธุรกิจโลจิสติกส์มาแรงและเติบโตสูง วางยุทธศาสตร์เจาะกลุ่ม CLMV พร้อมเพิ่มบริการเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้าง-บริหารจัดการคลังสินค้า โดยประธารบริหารบริษัทบี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแผนการดำเนินงานปี 63 ตั้งเป้าผลในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจง) ประกอบกับบริษัทให้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจภายใน ทั้งนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV  ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง และปัจจุบันธุรกิจโลจิสติกส์ถือเป็นรายได้หลักของบริษัทสัดส่วนกว่า 80% ของรายได้รวม ขณะเดียวกัน ในปี 2563 บริษัทยังได้ขยายขอบข่ายการทำธุรกิจที่ต่อยอดกับธุรกิจหลัก โดยเพิ่มการให้บริการ การเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้างและบริหารจัดการคลังสินค้า ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

ที่มา : นสพ.ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 14 ม.ค. 2563

เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 11.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 62 : กรมศุลกากร

จากรายงานของสำนักงานศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่ายอดเกินดุลการค้าของเวียดนามปี 2562 อยู่ที่ 11.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่เกินดุล 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดของเวียดนาม ได้แก่ สมาร์ทโฟน เสื้อผ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ขณะที่สินค้านำเข้าหลัก คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร ซึ่งการส่งออกในปี 2562 อยู่ที่ 264.189 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ขณะที่ ยอดการนำเข้าอยู่ที่ 253.071 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 ทั้งนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 46.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว จาก 34.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า สำหรับสถานการณ์การค้ากับสหรัฐฯนั้น เวียดนามมีความเสี่ยงที่จะถูกระบุว่าเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Manipulation) เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ในทิศทางที่เป็นบวกอย่างสูงและทางธนาคารกลางทำการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้น เพื่อลดช่องว่างทางการค้าหลังจากสหรัฐฯกำหนดอัตราภาษีสินค้าอเมริกาท่ามการสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20200114/vietnam-2019-trade-surplus-1112-billion-beating-994-billion-forecast-customs/52583.html

สนามบินนานาชาติเตินเซินเญิ้ตให้บริการรองรับผดส. 3.7 ล้านคน ในช่วงเทศกาลเต็ด

จากตัวแทนของสนามบินนานาชาติโฮจิมินห์ซิตีเตินเซินเญิ้ต (Ho Chi Minh City Tan Son Nhat International Airport) เปิดเผยว่ามีจำนวนเที่ยวบินขาเข้าและขาออกประมาณ 965 เที่ยวบิน ในช่วงไฮซีซั่นก่อนที่จะถึงช่วงเทศกาลเต็ด (Tet) ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มกราคม และคาดว่ามีผู้โดยสารมากกว่า 3.7 ล้านคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ตรงกับตรุษจีน โดยเพื่อตอบสนองต่อการท่องเที่ยวที่มากขึ้นในช่วงเทศกาลดังกล่าวนั้น สิ่งอำนวยทางด้านโครงสร้างพื้นฐานจะได้รับการลงทุนพร้อมกัน ซึ่งสายการบินประจำชาติเวียดนามได้ติดตั้งตู้คิออส (Kiosk) มากกว่า 10 แห่งที่อาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อให้บริการที่ดียิ่งขึ้นและลดความแออันตรงหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ประกอบกับมีการเพิ่มพื้นที่สแกนและระบบรักษาความปลอดภัยมากขึ้น รวมไปถึงลานจอดอากาศยานมากกว่า 14 แห่ง

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/tan-son-nhat-airport-to-serve-over-37-million-passengers-during-tet-408789.vov

เมียนมาต้องการตลาดอัญมณีที่ดีขึ้น

ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมากำลังพัฒนาตลาดสำหรับอัญมณีดิบ แม้เมียนมาจะเป็นผู้ผลิตอัญมณีและส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ไทยและจีน ซึ่งอัญมณีดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อผลิตอัญมณีราคาแพงโดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ในการติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านต้องเพิ่มมูลค่าและความสามารถให้กับตลาดอัญมณีให้มากขึ้น ปัจจุบันความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการสมาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวทำให้ตลาดอัญมณีในเมียนมาเติบโตช้า ในขณะที่มีตลาดขนาดเล็กสำหรับอัญมณีที่ทำผลิตจากเมียนมา สินค้าสำเร็จรูปจำนวนมากขายในราคาที่ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เหตุผลหนึ่งก็คืออัญมณีในท้องถิ่นได้ยังขาดคุณภาพ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/better-jewellery-market-needed-myanmar-official.html

เมียนมามีรายรับจากการส่งออกประมง 270 ล้านเหรียญสหรัฐ

เมียนมามีรายรับมากกว่า 270 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกประมงตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 3 มกราคมในปีงบประมาณนี้และมากกว่า 37 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้ว ปัจจุบันเมียนมาจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการส่งออก 10 เท่าหรือมากกว่านั้น ซึ่งต้องพัฒนาเทคนิคการผสมพันธุ์แทนการจับปลาตามธรรมชาติ โดยจะร่วมมือกับอินโดนีเซีย ไต้หวัน และจีนเพื่อสร้างโรงงานอาหารปลา โรงงานห้องเย็น และโรงงานที่ทันสมัยเพื่อสร้างรายได้ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐจากภาคการประมง คาดสามารถสร้างงานได้ถึง 100,000 ตำแหน่ง ซึ่งกระทรวงการวางแผนและการเงินจะให้สินเชื่อเพื่อซื้อที่ดิน สร้างโรงงานสำหรับปลาและกุ้ง

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-earns-us270-m-from-fishery-export

บริษัท อีวีลาว จำกัด ร่วมมือกับ Electricite du Laos (EDL) ติดตั้งสถานีชาร์จ 100 แห่ง

บริษัท อีวีลาว จำกัด ได้ร่วมมือกับ Electricite du Laos (EDL) เพื่อติดตั้งสถานีชาร์จ 100 แห่งสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า (EV) ในปีนี้ คุณอัญชลีบูรณานนท์กรรมการผู้จัดการบริษัท อีวีลาว จำกัดกล่าวว่าในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับ EDL ติดตั้งสถานีชาร์จ 7 แห่งเพื่อเพิ่มการรองรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ที่อนาคตจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันตลาดยานพาหนะไฟฟ้า (EV)ของสปป.ลาวศักยภาพสูงมากที่จะขยายตลาดแต่พวกเขากำลังรอทิศทางนโยบายของรัฐบาลสปป.ลาวจึงทำให้การขยายตลาดทำได้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตามภาครัฐกำลังทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในสปป.ลาวเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้น้อยที่สุดตามแผนส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคการขนส่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลในการจัดหาพลังงานสู่ภาค ทำให้ตลาดยานพาหนะไฟฟ้า (EV)ในอนาคตเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/100-charging-stations-jump-start-electric-vehicle-use-111969