เจ้าหน้าที่ IMF มองเวียดนามถูกทางในการผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจ

สำนักข่าวเวียดนาม (VNA) อ้างผู้เชี่ยวชาญจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ว่าเวียดนามมาถูกทางในการเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่จำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐบาลที่มุ่งเน้นไปที่การเติบโตอย่างยั่งยืน ครอบคลุมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ คุณ Era Dabla-Norris หัวหน้านโยบายเศรษฐกิจการเงินขององค์กร IMF ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยว่าหนึ่งในความท้าทายสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ คือความแตกต่างของเศรษฐกิจ ธุรกิจ ภาคส่วนและแรงงาน โดยการแก้ไขปัญหาข้างต้นนั้น จำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและยกระดับศักยภาพ รวมถึงนโยบายเพื่อสร้างความมั่นใจในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

ที่มา : https://www.zawya.com/en/world/china-and-asia-pacific/vietnam-on-right-track-in-pushing-economic-reform-imf-official-hcaaps13

“อุตสาหกรรมการผลิตของเวียดนาม” ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

สำนักงานการลงทุนจากต่างประเทศ (FIA) ของเวียดนาม เปิดเผยว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มีเม็ดเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้ามายังภาคอุตสาหกรรมการผลิตของเวียดนาม มูลค่า 252 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของเงินทุนจากต่างประเทศทั้งหมดที่ไหลเข้าไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตามรายงานของสำนักงาน ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบัน เวียดนามมีโครงการลงทุนจากต่างชาติ จำนวน 34,898 โครงการ ด้วยมูลค่า 426.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภาคอุตสาหกรรมได้รับความสนใจอย่างมากจากกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ของโลก อาทิ Samsung, LG, Canon, Honda และ Toyota สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องในเวียดนาม

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnams-process-manufacturing-attractive-to-foreign-investors/234399.vnp

สามเดือนครึ่ง ค้าชายแดนผ่านด่านทิกิ พุ่งขึ้น 213 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กระทรวงพาณิชย์เมียนมา เผย สามเดือนครึ่งที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. ถึง 15 ก.ค.2565) การค้าชายแดนระหว่างไทยและเมียนมาผ่านด่านชายแดนทิกิ มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 644.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 213.755 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่า 430.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยชายแดนทิกิมีการค้าขายใหญ่เป็นอันดับ 2 ในบรรดาชายแดนไทย-เมียนมา รองจากด่านเมียวดี ซึ่งการส่งออกก๊าซธรรมชาติจากเขตตะนาวศรีมีส่วนทำให้การค้าผ่านชายแดนทิกิเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ สินค้าส่งออกสำคัญไปยังไทย ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ, ผลิตภัณฑ์ประมง, ถ่านหิน, ดีบุกเข้มข้น (SN 71.58%), มะพร้าว (สดและแห้ง), ถั่ว, ข้าวโพด, และหน่อไม้ ส่วนการนำเข้า ได้แก่ สินค้าทุน, สินค้าอุตสาหกรรมดิบ เช่น ซีเมนต์และปุ๋ย และสินค้าอุปโภคบริโภค

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/border-trade-through-hteekhee-post-rises-by-213-mln-in-three-and-a-half-months/

สหรัฐฯ ประกาศมอบเงิน 8.5 ล้านดอลลาร์ ให้ดำเนินโครงการเคลียร์ระเบิดในแขวงเชียงขวาง สปป.ลาว

สหรัฐอเมริกา ประกาศช่วยเหลือมอบเงินมูลค่า 8.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมแล้วเป็นระยะเวลา 12 เดือน ให้กับองค์กร Mine Advisory Group (MAG) เพื่อดำเนินโครงการเคลียร์กับระเบิดที่ยังไม่ระเบิด (UXO) สำรวจและศึกษาความเสี่ยงทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ระเบิดในแขวงเชียงขวาง (Xieng Khouang) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องการทำลายกับระเบิกที่ยังไม่ระเบิดยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรง โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านและชนบท โดยงานขององค์กร MAG ที่ดำเนินการเคียร์พื้นที่และให้การศึกษาถึงความเสี่ยงด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ จะทำให้ช่วยลดจำนวนผู้ประสบอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับระเบิด รวมถึงการจัดหาพื้นที่ปลอดภัยสำหรับกิจกรรมทางการเกษตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของสปป.ลาว อีกด้วย

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten142_USprovides.php

ชาวสวนเมืองปะลัค เขตตะนาวศรี เล็งปลูกบุก เป็นพืชผสมผสาน เพื่อสร้างกำไร

กรมวิชาการเกษตรเมืองปะลัค รายงานว่า ผลกำไรบวกกับความต้องการจากต่างประเทศกระตุ้นให้ชาวสวนในเมืองปะลัค อำเภอปะลอ เขตตะนาวศรี หันมาปลูกบุก (มันเทศช้าง) ภายใต้ระบบการปลูกพืชแบบผสมผสานกันมากขึ้น จากที่แต่ก่อนไม่เป็นที่นิยมบริโภคในประเทศมากนัก อย่างไรก็ตาม ความต้องการจากต่างประเทศที่มากขึ้นส่งผลให้ราคาพุ่งตามไปด้วย เมียนมา เริ่มเพาะปลูกบุกเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วในรัฐคะฉิ่น รัฐชิน รัฐฉาน รัฐมอญ รัฐกะเหรี่ยง และเขตพะโค การปลูกบุกเริ่มขึ้นในเขตตะนาวศรีในปีงบประมาณ 2563-2564 ปัจจุบันได้เริ่มมีการปลูกแซมในสวนยางพารากันบ้างแล้ว ขณะที่ต้นทุนการเพาะปลูกอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านจัตต่อเอเคอร์ โดยราคาในประเทศอยู่ที่ 1,800-2,000 จัตต่อ viss (viss เท่ากับ 1.6 กิโลกรัม) ซึ่งต้องใช้เงินทุนมากในการเพาะปลูก แต่กำไรค่อนข้างสูง ทั้งนี้การทำไร่ปลูกบุกพบได้ทั่วไปในอเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกเหนือจากการบริโภคในท้องถิ่นแล้ว เมียนมายังจัดส่งบุกแห้งและผงบุกไปยังจีน ญี่ปุ่น ไทย อินเดีย บังคลาเทศ และมาเลเซีย

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/growers-eye-konjac-for-mixed-cropping-in-palauk-as-it-raises-profitability/#article-title

สหรัฐฯ สนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์ฟื้นฟูผู้ป่วยในภาคเหนือของสปป.ลาว

ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวในเขตขาม จังหวัดเชียงขวาง ของสปป.ลาว และพื้นที่ใกล้เคียงจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นฟูสมรรถภาพและการบริการด้านสุขภาพ โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา คือ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) ได้บริจาคเงินกว่า 326 ล้านกีบ เพื่อจัดหาอุปกรณ์สำหรับการฟื้นฟูสมรรถภาพและการฝึกปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลอำเภอขาม จังหวัดทางภาคเหนือ

ที่มา: https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten142_USgives.php

กัมพูชาส่งออกผลไม้ไปยังจีนเพิ่มขึ้นหลัง FTA กัมพูชา-จีน มีผลบังคับใช้

การส่งออกสินค้าเกษตรของกัมพูชาโดยเฉพาะผลไม้สดได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ของเกษตรกรและถือเป็นส่วนส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบันกัมพูชาส่งออกผลไม้ไปยังจีนเพิ่มขึ้นภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี กัมพูชา-จีน แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งผลไม้จากกัมพูชาหลายชนิดได้รับอนุญาตให้ทำการส่งออกไปยังประเทศจีนได้ตั้งแต่ในช่วงเดือนเมษายนของปีที่แล้ว โดยสินค้าชนิดแรกที่ได้รับการอนุญาตได้แก่มะม่วง ซึ่งกรมศุลกากรจีนได้อนุมัติการนำเข้ามะม่วงจากสวน 37 แห่ง และโรงงานแปรรูปอีก 5 แห่ง ในกัมพูชา ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีกัมพูชา-จีน ซึ่งในระยะอันสั้นจะมีการประเมินสำหรับการขออนุญาตในการส่งออกลำไยจากกัมพูชาไปยังจีนเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของกัมพูชาในอนาคต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501118917/growth-of-fruit-exports-to-china-highlights-effectiveness-of-cambodia-china-fta/

“เวียดนาม-สปป.ลาว” ยอดการค้าระหว่างประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 65 พุ่ง 20.6%

สำนักงานการค้าเวียดนามในประเทศสปป.ลาว เปิดเผยว่าการค้าระหว่างเวียดนามและสปป.ลาวในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีมูลค่า 824 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี จากตัวเลขการค้าดังกล่าว มูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปยังสปป.ลาว อยู่ที่ 309.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 6% ในขณะที่มูลค่าการนำเข้า 514.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 45.4% โดยสินค้าส่งออกหลักของเวียดนามไปยังตลาดสปป.ลาว ได้แก่ น้ำมันเบนซิน (30.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผักและผลไม้ (22.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในขณะเดียวกัน เวียดนามนำเข้าแร่และแร่ธาตุอื่นๆ, ปุ๋ย, ไม้และผลิตภัณฑ์ทำมาจากไม้ และยางพารา ตามลำดับ นอกจากนี้ จากการคาดการณ์ทิศทางการส่งออกของเวียดนามไปยังสปป.ลาว ในเดือนก.ค. จะยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจสปป.ลาว มีเสถียรภาพชั่วคราว หลังจากรัฐบาลอนุมัติสินเชื่อซื้อน้ำมัน 200 ล้านลิตร

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-laos-trade-up-206-in-first-half/234336.vnp

“เวียดนาม” ขึ้นแท่นผู้ส่งออกเส้นใยและเส้นด้ายรายใหญ่อันดับ 6 ของโลก

ตามรายงานของสมาคม Vietnam Cotton and Spinning Association (VCOSA) พบว่าเวียดนามขยับอันดับผู้ส่งออกเส้นใยและเส้นด้ายรายใหญ่อันดับ 6 ของโลก มีมูลค่า 2.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 แซงหน้าเกาหลีใต้ โดยสมาคมมีรายได้เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ การส่งออกกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เส้นใย เส้นด้ายและผ้าผืน มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 18.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20.81% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยสมาคมได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าตลาดจีนมีสัดส่วนราว 60% ของยอดการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของเวียดนาม ในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นผู้นำเข้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ลดการนำเข้าจากประเทศจีน ทำให้เวียดนามมีโอกาสขยายส่วนแบ่งการตลาดได้

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-becomes-world-s-sixth-largest-fibre-yarn-exporter-2042957.html

ส.อ.ท.ประกาศลดเป้าผลิตรถ โยนผ้าขาวปี 65 เหลือ 1.7 ล้านคัน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้ติดตามปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) และชิ้นส่วนรถยนต์ หลังส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกรถยนต์ ทำให้เป้าหมายการผลิตรถยนต์ปีนี้ลดลงจากที่ตั้งไว้ 1,800,000 คัน แบ่งเป็นจำหน่ายในประเทศ 800,000 คัน และส่งออก 1,000,000 คัน ซึ่ง คาดว่าตัวเลขการผลิตปีนี้อาจลดมาอยู่ที่ 1,700,000 คัน ซึ่งเป้าหมายที่วางไว้ 1,800,000 คัน ก่อนหน้านี้ยังไม่มีปัจจัยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบต่อการขาดแคลนชิป เพราะยูเครนเป็นผู้ส่งออกก๊าซนีออน (Neon) บริสุทธิ์เกือบ 70% ให้กับทั่วโลก เพื่อใช้ผลิตชิป และจีนล็อกดาวน์เมืองเซี่ยงไฮ้ ทำให้การผลิตชิปหยุดลงอีกรอบหนึ่ง

ที่มา: https://www.thairath.co.th/business/economics/2455173