รัฐบาลสปป.ลาว-จีน ลงนามข้อตกลงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบรถไฟสปป.ลาว-จีน

รัฐบาลและ บริษัท การรถไฟสปป.ลาว – ​​จีน จำกัด ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟในเมืองหลวงและแขวงอุดมไซเวียงจันทน์และหลวงพระบางโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ นายเสี่ยวเฉียนเหวินตัวแทนจากทางการจีนกล่าวในงานลงนามว่า              “การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในพื้นที่เหล่านี้สำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์การพาณิชย์และเศรษฐกิจในท้องถิ่น” ทางรถไฟสปป.ลาว – ​​จีนเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของ China’s Belt and Road Initiative และแผนการของรัฐบาลที่จะเปลี่ยนแปลงสปป.ลาวจากการไม่มีทางออกสู่ทะเลเป็นแผ่นดินที่เชื่อมโยงภายในภูมิภาค เมื่อเปิดให้บริการทางรถไฟจะลดต้นทุนการขนส่งผ่านทางตะวันตกเฉียงเหนือของสปป.ลาวได้ถึงร้อยละ 30-40 เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนรัฐบาลมั่นใจว่าการรถไฟจะกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและทำให้สปป.ลาวก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_lao_china_242.php

เวียดนามตั้งเป้ายอดส่งออกเสื้อผ้า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568

สมาคมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของเวียดนาม (VITAS) เปิดเผยว่าภาคเครื่องนุ่งห่มได้ตั้งเป้ามูลค่าการส่งออก 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างแรงงานกว่า 3 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้น อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มต้องใช้ประโยชน์จากผลของข้อตกลงการค้าเสรีที่เวียดนามร่วมลงนามกับประเทศพันธมิตร ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป (EVFTA),  ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก, ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ฯลฯ เป็นต้น รวมถึงทางสมาคมฯ จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงธุรกิจกับองค์กรระหว่างประเทศและลูกค้า เพื่อยกระดับตำแหน่งของเครื่องนุ่งห่มเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก นอกจากนี้ การส่งออกเครื่องนุ่งห่มของเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกกระโดดจาก 28.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2559 เป็น 38.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 อัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9.55 ต่อปี และคาดว่าในปี 2563 จะมีมูลค่าส่งออกถึง 3.52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

  ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/garment-sector-targets-55-billion-usd-from-exports-by-2025/193053.vnp

ด่งนายหวังดึงดูดเม็ดเงินลงทุน FDI เพื่อยกระดับสภาพแวดล้อมการลงทุน

คณะกรรมการประชาชนจังหวัด ระบุว่าการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เป็นปัจจัยสำคัญของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด ในปี 2563-2568 โดยเป้าหมายดังกล่าว เพื่อให้จังหวัดเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนต่างชาติในภาคตะวันออกเฉียงใต้ และให้ความสำคัญกับโครงการที่เกี่ยวข้องด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้แรงงานน้อยและผลิตสินค้าที่สามารถแข่งขันกับเจ้าอื่นได้ อีกทั้ง ทางจังหวัดจะเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะแรงงานและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงปฏิรูปการบริหาร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุน

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/dong-nai-hopes-to-attract-fdi-by-improving-investment-climate/193063.vnp

กัมพูชาเตรียมพร้อมสำหรับการทำการค้าเสรีกับจีน

อีกไม่ถึง 20 วัน ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัมพูชากับจีน (CC-FTA) จะมีผลบังคับใช้หลังจากทั้งสองประเทศลงนามในข้อตกลงเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากตลาดจีนที่ถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ซึ่งกระทรวงกำลังดำเนินการและจะเปิดเผยรายการสินค้าทั้งหมดที่สามารถส่งออกไปยังประเทศจีนได้ในไม่ช้า สิ่งนี้จะช่วยให้ภาคเอกชนตระหนักถึงสิ่งที่สามารถส่งออกได้และเกณฑ์ใดที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามในการที่จะส่งออกสินค้าไปยังจีน โดยสินค้าที่มีศักยภาพส่วนใหญ่เป็นสินค้าทางการเกษตร เช่น เนื้อสัตว์แปรรูปและปศุสัตว์ ซึ่งกัมพูชาได้จดทะเบียนสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อส่งออกไปยังจีนอีกราว 340 รายการภายใต้ CC-FTA ทำให้มียอดรวมมากกว่า 10,000 รายการที่สามารถทำการส่งออกไปยังจีนได้ จากข้อมูลของ MoC ในบรรดาสินค้าโภคภัณฑ์ใน CC-FTA ร้อยละ 95 ของสินค้าเหล่านี้จะไม่ต้องเสียภาษี และอีกร้อยละ 5 ที่เหลือจะค่อยๆทยอยยกเลิกภาษี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50791954/getting-ready-for-free-trade-with-china/

ธนาคารกลางกัมพูชาและเวียดนามพึงพอใจกับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน

ธนาคารกลางกัมพูชาและเวียดนามแสดงถึงความพึงพอใจในด้านความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาภาคการธนาคารและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) และผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติเวียดนาม (SBV) แสดงถึงความพึงพอใจผ่านการประชุมทวิภาคีประจำปี 2020 ที่จัดขึ้นผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในการรักษาเสถียรภาพด้านการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งยังเพิ่มความมั่นคงของระบบธนาคารและการควบคุมการแพร่กระจายของโควิด-19 ของทั้งสองรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ซึ่งการประชุมประจำปีมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพระหว่าง NBC และ SBV ต่อไป

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50792134/cambodian-vietnamese-central-banks-satisfied-with-bilateral-cooperation/

จุรินทร์ บุกท่าเรือแก้ ตู้คอนเทนเนอร์ ขาดแคลน 14 ธ.ค.นี้

รายงานข่าวจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันจันทร์ 14 ธ.ค.2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเดินทางไปร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนและอัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้น  พร้อมตรวจเยี่ยมกิจการการท่าเรือ ณอาคารที่ทำการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ด้านนางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่าปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าและค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากสายเรือมีนโยบายจัดสรรระวางตู้สินค้า (Space Allocation) และจัดสรรตู้เปล่าหมุนเวียน (Container Allocation) กลับไปยังประเทศจีนและเวียดนามมาก เนื่องจากให้อัตราค่าระวางที่สูงกว่าไทย และการระบาดของ COVID-19 รอบ 2 ในยุโรปและสหรัฐ ทำให้ตู้สินค้าตกค้างที่ปลายทางเป็นจำนวนมาก ต่อเนื่องให้ปริมาณตู้สินค้าที่ต้องหมุนเวียนกลับสู่ระบบหายไปจำนวนมาก ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงให้อัตราค่าระวางที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางสรท.ได้ขอให้สายเรือคงอัตราค่า Local Charge เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการไทย และขอให้ภาครัฐควรพิจารณามาตรการจูงใจให้สายเรือนำตู้เปล่ามายังประเทศไทย เช่น การยกเว้นค่ายกขนตู้เปล่ากลับมาประเทศไทย การยกเว้นค่าภาระท่าเรือให้กับเรือขนส่งสินค้าเป็นการชั่วคราว และขอให้ภาครัฐเจรจาในระดับประเทศเพื่อหาแนวทางส่งตู้ส่วนเกินในประเทศที่มีการนำเข้ามากกว่าส่งออก กลับมาให้ประเทศไทย

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/911654

เศรษฐกิจปีหน้าจะโต 4% ต้องทำอะไรอีกมาก

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2564 จะออกมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และทำให้หลายฝ่ายประเมินว่าเศรษฐกิจไทยพ้นจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ติดลบ 12.1% แล้วก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่เดือนแรกของไตรมาส 4 ปี 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่าเศรษฐกิจไทยช่วงเวลาดังกล่าวยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยการส่งออกสินค้าหดตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชน ยกเว้นการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูงขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวระหว่าง 3.5-4.5% มีค่ากลางอยู่ที่ 4.0% โดยปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งยังไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าจะไม่เกิดการระบาดวงกว้างรอบ 2 จนถึงระดับที่จะต้องประกาศล็อกดาวน์อีกหรือไม่ แน่นอนว่าถ้าถึงระดับดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2564 อย่างแน่นอน นอกจากนี้ การส่งออกที่มีน้ำหนักต่อเศรษฐกิจไทยสูงก็ยังต้องขึ้นกับการฟื้นตัวของการค้าโลกในปี 2564 ด้วย ซึ่งต้องส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ากับประเทศและกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญ ในขณะที่การท่องเที่ยวและธุรกิจบริการในระยะยาวอาจต้องลดการพึ่งพาจำนวนนักท่องเที่ยวและเปลี่ยนมาพึ่งการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้สูง

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/911383

เอสแอนด์พี โกลบอล คาดเศรษฐกิจเวียดนามโตสูงที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก ปี 64 โต 10.9%

เวียดนามจะกลับมาบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจในปีหน้า คาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 10.9 นับว่าสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ นาย Vishrut Rana นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P) กล่าวว่าถึงว่าแม้มีความเป็นไปได้ที่จะเปิดตัววัคซันในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ส่งผลไปในทิศทางที่เป็นบวกแก่กลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก แต่เวียดนามก็ยังคงเป็นประเทศที่ขยายตัวได้ดีกว่าในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยสำคัญของเศรษฐกิจ ด้วยสัดส่วนร้อยละ 6 ของ GDP และคาดว่าจะเผชิญกับความท้าทายในปีหน้า ในส่วนของการบริโภคภาคเอกชนนั้น จะกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติเร็วๆนี้ แต่การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวยังคงหดตัวลงอยู่ จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจเวียดนาม เนื่องมาจากความต้องการสินค้าเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 2.5-3 ในปีนี้ และจะพุ่งขึ้นร้อยละ 6 ในปี 2564

ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-gdp-to-record-highest-growth-in-asia-pacific-at-109-in-2021-sp-315173.html

ราคาส่งออกข้าวของเวียดนาม ปรับตัวพุ่งแตะ 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

หน่วยงานด้านการแปรรูปและพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรเวียดนาม เปิดเผยว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวทั้งหมด 5.74 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแง่ของปริมาณ ลดลงร้อยละ 2.2 ในขณะที่ ด้านมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งนี้ ตลาดส่งออกสำคัญของเวียดนามในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุด มีสัดส่วน 32.9% ของส่วนแบ่งการตลาดรวม ตามมาด้วยอินโดนีเซียและจีน อย่างไรก็ตาม ราคาข้าวขาว 5% ในเดือนพฤศจิกายน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 495 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 498 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในขณะที่ ราคาข้าวขาว 5% ของไทย พุ่งสูงขึ้นจาก 466 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 480 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA) ส่งผลให้การส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากสหภาพยุโรปให้โควต้าสำหรับข้าวของเวียดนาม 80,000 ตันต่อปี ด้วยอัตราภาษีร้อยละ 0

ที่มา : https://vov.vn/en/economy/rice-export-price-soars-to-roughly-us500-per-tonne-822735.vov

รัฐบาลสปป.ลาวให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า

รัฐบาลมีแผนที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจโดยกรอบของแผนจะเริ่มในปี 2564-2568 และแผนดังกล่าวรัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโตอย่างยั่งยืน มีการกำหนดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 4-5 ต่อปีเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2564-2568 ขณะที่ระดับอัตราเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ 6 ต่อปี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุน Mr.Sonexay Siphandone กล่าวว่า “มีเป้าหมายหลายประการที่จะบรรลุในอีกห้าปีข้างหน้าและยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพิ่มรายได้ของประเทศและการลดการรั่วไหลทางการเงิน” อีกด้านหนึ่งการปรับปรุงโครงสร้างของเศรษฐกิจโดยให้ความสำคัญกับ SMEs และการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวระเบียงเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจที่สำคัญของสปป.ลาว อย่างไรก็ตามความท้าทายอย่างหนึ่งของสปป.ลาวคือภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ผันผวนปัจจัยนี้เองจะเป็นอุปสรรคที่ท้าทายต่อเศรษฐกิจของสปป.ลาวในการเติบโตให้ได้ตามเป้าในอีก5 ปีข้างหน้า

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_239.php