AIS ขึ้นสัญญาณ 5G บนมือถือรายแรก ในอาเซียน

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด กลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า หลังจากที่ GSMA สมาคมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมที่มีสมาชิกมากกว่า 800 รายทั่วโลก ได้ประกาศรับรองให้ เอไอเอสเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่พร้อมให้คนไทยได้ใช้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ อย่างเป็นทางการแล้ว และยังเป็นการนำชื่อเสียงประเทศไทยสู่แวดวงโทรคมนาคมโลก พร้อมปักหมุดไทยเป็นประเทศแรกที่ให้บริการ 5G บนมือถือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สำเร็จ “จากเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา เอไอเอสได้เข้าชำระเงินค่าคลื่น 2600 MHz งวดแรก เรียบร้อยแล้ว และได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 2600 MHz เพื่อให้บริการ 5G อย่างเป็นทางการ เป็นรายแรกและรายเดียวในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังร่วมกับภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม นำประโยชน์ของ 5G มาสนับสนุนการทำงาน อาทิ หุ่นยนต์ที่ช่วยภาคสาธารณสุขรับมือกับไวรัสโควิด-19, ทดสอบการใช้5G ในกิจการท่าเทียบเรือขนส่งสินค้า ควบคุมเครนยกตู้สินค้าได้จากระยะไกล รวมถึงเอไอเอสยังเป็นรายแรก ที่เริ่มเปิดให้บริการ 5G International Roaming เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่เดินทางไปต่างประเทศได้ใช้งาน 5G โดยเริ่มต้นกับ Swisscom ประเทศสวิตเซอร์แลนด์, Etisalat ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเร็วๆ นี้ กับ China Unicom สาธารณรัฐประชาชนจีน และ SK Telecom ประเทศเกาหลีใต้ อีกด้วย“ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเอไอเอสที่พร้อมนำ 5G มาพลิกโฉมและยกระดับประเทศไทยไปอีกขั้นผ่านการผลักดันนวัตกรรมสู่การบริหารจัดการสาธารณูปโภค, ภาคอุตสาหกรรมภาคการผลิตเพื่อเสริมขีดความสามารถอันจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่คนไทยต่อไป”

ที่มา : https://www.posttoday.com/economy/news/617198

VN-Index ดิ่งสุดในรอบ 18 ปีที่ผ่านมา

ดัชนี VN-Index ในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HOSE) ปิดที่ 835.49 จุด ณ วันที่ 9 มีนาคม ทำสถิติแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2545 โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามาจากผลกระทบเชิงลบของไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลกและเวียดนาม ซึ่งในตลาดหุ้น HOSE นั้นมีเพียง 34 หุ้นที่สามารถเติบโต 386 หุ้นที่ลดลง และอีก 14 หุ้นยังคงทรงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้นทั้งหมดในดัชนี VN30 ประกอบไปด้วยหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุดและมีสภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ซึ่งขาดทุนในวันนี้ ขณะที่ ดัชนี HNX Index ปิดที่ 106.34 จุด สำหรับนักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นด้วยมูลค่า 229.61 พันล้านด่ง (9.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์และมูลค่า 2 พันล้านด่งในตลาดหลักทรัพย์ฮานอย

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vnindex-hits-rock-bottom-in-past-18-years-411121.vov

ADB เผยเศรษฐกิจเวียดนามลดลง 0.41% จากไวรัสโควิด-19

จากรายงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเวียดนามลดลงร้อยละ 0.41 เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจากตัวรายงานฉบับนี้เผยแพร่ในหัวข้อ “ผลกระทบทางเศรษฐกิจของการระบาดของโควิด-19” ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าความเสียหายของเวียดนามนั้นอยู่ในทิศทางที่ดีเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเอเชีย ด้วยอยู่ในอันดับที่ 9 ตามมาด้วยไทเป (0.44%), สิงคโปร์ (0.57%), มองโกเลีย (0.74%), จีน (0.76%), ฮ่องกง (0.85%), ไทย (1.11), กัมพูชา (1.59%) และมัลดีฟส์ (2.05%) ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของไวรัสนั้น จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเอเชียและโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริโภคในประเทศลดลง การชะลอตัวของการลงทุน การท่องเที่ยวทรุดและการหยุดชะงักด้านการผลิตสินค้า รวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพ สำหรับกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นกลุ่มที่ทำการค้าและการผลิตกับจีน รวมถึงนักท่องเที่ยวจากจีนอีกด้วย นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกลดลงร้อยละ 0.2 ในช่วงปลายเดือนมกราคม คิดเป็นมูลค่าที่สูญเสียอยู่ที่ 156 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/adb-vietnam-to-lose-0-41-percent-of-gdp-due-to-covid-19/169850.vnp

ตลาดยาเมียนมาเข้าสู่ภาวะขาดแคลน

ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาให้ข้อมูลว่ายาบางชนิดที่นำเข้าจากอินเดียอาจขาดสต็อกในเมียนมาในไม่ช้า จากข้อมูลอุตสาหกรรมยาพบว่า 75% ของยาที่ขายในเมียนมานำเข้ามาจากอินเดียและปัจจุบันบริษัทยาอินเดียกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับการผลิต การระบาดของโรค coronavirus ในประเทศจีนได้ทำลายห่วงโซ่อุปทานของส่วนผสมและสารเคมีที่ใช้ในการทำยา ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียยังจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์บางประเภทไปยังประเทศอื่น ๆ เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศ อย่างไรก็ตามการแข็งค่าของเงินจัตเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนั้นก็ค่อนข้างที่จะส่งผลต่อการขาดแคลนและราคายาให้คงที่ได้เช่นกัน เมียนมานำเข้ายา 80% จากอินเดีย และประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ปากีสถาน บังกลาเทศ จีน เวียดนามฟิลิปปินส์ และยุโรป

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/market-conditions-tighten-indian-pharmaceuticals.html

เยอรมนีอนุมัติเงิน 7.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐสนับสนุนกองทุนเงินทุนเพื่อธุรกิจ

เยอรมนีอนุมัติเงินเพิ่ม 7.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับกองทุนการเข้าถึงการเงินสปป.ลาว (LAFF) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงการเงินระยะยาวสำหรับครัวเรือนและองค์กรขนาดเล็กขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ในพื้นที่ชนบท โดยกองทุนนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของธนาคารสปป. ลาว และยังสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจลาวอย่างยั่งยืนโดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจสำหรับ MSME โดยธนาคารและสถาบันการเงินรายย่อยสามารถให้สินเชื่อแก่ธุรกิจได้มากถึง 500 ล้านกีบต่อธุรกิจ  ตรงตามวัตถุประสงค์หลักของโครงการคือการสนับสนุนภาคการเงินเชิงพาณิชย์ของลาวในการให้บริการทางการเงินที่ยั่งยืนและตามความต้องการของ MSMEs ในพื้นที่ชนบท สิ่งนี้จะช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนและสนับสนุนการสร้างงานและลดความยากจน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/germany-backs-access-finance-msmes-115374

ADB เตือนภาคการท่องเที่ยวกัมพูชาอาจจะเสียหายเป็นอย่างมากจากการแพร่ของไวรัส

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) กล่าวถึงการระบาดอย่างต่อเนื่องของไวรัส COVID-19 จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนาในเอเชีย โดยในการวิเคราะห์ล่าสุดของ ADB กล่าวว่าจะมีการลดลงอย่างมากของอุปสงค์ในประเทศ เช่นการท่องเที่ยวและการค้ารวมถึงการหยุดชะงักอย่างรุนแรงในการเชื่อมโยงการผลิตและซัพพลายเชน ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับกัมพูชา ADB ประมาณการว่ารายรับจากการท่องเที่ยวของกัมพูชาอาจลดลงเหลือ 856.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วกัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยว 6.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน ภาคดังกล่าวสร้างรายได้ประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคิดเป็น 12% ของจีดีพี อย่างไรก็ตามในปีนี้กระทรวงการท่องเที่ยวได้คาดการณ์ไว้แล้วว่ากัมพูชาจะประสบปัญหานักท่องเที่ยวลดลงประมาณ 1 ล้านคนส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง 10% โดยการท่องเที่ยวถือเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาหลายแห่งในเอเชีย

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50699917/tourism-sector-to-lose-over-850-million-warns-the-adb

นายกฮุนเซนประกาศเปิดตัวโครงการใหม่ National Road 10

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนได้เปิดเผยแผนการสำหรับการก่อสร้างทางหลวงเส้นใหม่จากพระตะบองไปยังเกาะกง โดยนายกฮุนเซนได้กล่าวในพิธีเปิด National Road 55 ทางหลวงที่เพิ่งสร้างเสร็จในจังหวัดโพธิสัตว์ ซึ่งเชื่อมต่อกับทางชายแดนของไทย หากเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วเส้นทางยุทธศาสตร์จะสร้างเส้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญระหว่างกัมพูชาและไทย โดยหนึ่งในจุดประสงค์คือการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคและโลก จะช่วยอำนวยความสะดวกในบรรยากาศการลงทุนและปรับปรุงการค้าการท่องเที่ยว รวมถึงความร่วมมือข้ามพรมแดนในขณะเดียวกันก็จะสร้างงานและส่งเสริมสวัสดิการทางสังคมให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์จะพบว่าการค้าระหว่างกัมพูชาและไทยเพิ่มขึ้น 12% ในปี 2562 เป็น 9.4 พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2558 โดยเมื่อปีที่แล้วการส่งออกของกัมพูชามายังประเทศไทยมีมูลค่า 2.27 พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 195% เมื่อเทียบเป็นรายปีในขณะที่มูลค่าการนำเข้าจากไทยอยู่ที่ 7.14 พันล้านเหรียญสหรัฐลดลง 6%

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50699905/pm-announces-new-national-road-10

กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชากล่าวถึงผลกระทบจากไวรัสต่ออุตสาหกรรม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างการระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบันกับการระบาดของโรคที่ติดต่อกับทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARs) ที่เกิดขึ้นในปี 2546 ที่ได้ทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย โดยกัมพูชาประสบกับปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างมากในช่วงการระบาดของโรคซาร์สในปี 2546 และเห็นปฏิกิริยาคล้ายๆกับไวรัส COVID-19 ในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงคาดการณ์ว่ากัมพูชาจะประสบกับการลดลงของนักท่องเที่ยว 1 ล้านคน ในปีนี้ส่งผลให้สูญเสียรายได้ประมาณ 10% สำหรับภาคธุรกิจการท่องเที่ยว โดยกัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยว 6.6 ล้านคน ในปี 2562 เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน สร้างรายได้ประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐและคิดเป็น 12% ของจีดีพีของประเทศ กระทรวงยังกล่าวอีกว่ากัมพูชายังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกเนื่องจากสงครามการค้าของจีนและสหรัฐฯและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีรายงานหนึ่งสรุปประมาณการณ์ความเสียหายจากไวรัสคิดเป็น 0.1% ถึง 0.4% ของ GDP โลก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50699503/minister-of-tourism-says-virus-will-be-as-bad-if-not-worse-than-sars-was-for-industry

MOT กัมพูชาเปิดเผยแผนการสนันสนุนการเดินทางภายในประเทศ

กระทรวงการท่องเที่ยว (MOT) กำลังวางแผนที่จะจัดทำแพคเกจทัวร์ราคาประหยัดใหม่เพื่อสอดรับกับการชะลอตัวลงของภาคการท่องเที่ยวในประเทศท่ามกลางสถานการณ์การระบาด COVID-19 ที่กำลังดำเนินอยู่ ณ ปัจจุบันเพื่อให้การเดินทางภายในประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยแพ็คเกจทัวร์นี้จะช่วยให้ประหยัดได้ในระหว่าง 20% ถึง 30% สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งโฆษกเปิดเผยว่ากระทรวงกำลังทำงานกับชุดบริการในภาคเอกชนรวมถึงโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และบริษัทขนส่ง เพื่อการพัฒนาแพคเกจทัวร์ราคาประหยัดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเติบโตของนักท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันการระบาดของ COVID-19 ส่วนใหญ่เกิดในประเทศจีนและไม่มีข้อบ่งชี้ว่าไวรัสจะหยุดแพร่กระจายในเร็วๆนี้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเมื่อปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6.6 ล้านคน (ซึ่งสร้างรายได้ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีนักท่องเที่ยวภายในประเทศ 11.5 ล้านคน อาจจะลดลงเป็นอย่างมากในระยะไม่กี่เดือนข้างหน้า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50699506/mot-unveils-their-plan-to-encourage-domestic-travel

เม็ดเงินลงทุน 564 ล้านดอลลาร์สหรัฐในนิคมอุตสาหกรรม Da Nang Hi-Tech Park

นิคมอุตสาหกรรม Da Nang Hi-Tech Park (DHTP) ได้เปิดตัวในปี 2556 ฐานะศูนย์กลางสีเขียวและการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จนสามารถดึงดูดโครงการลงทุน 18 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) 9 โครงการ ด้วยเงินทุนรวม 564 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ผู้อำนวยการของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ระบุว่านิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวถูกออกแบบให้เป็น 1 ใน 3 ของนิคมอุตสาหกรรมหลักที่สามารถใช้งานได้หลายประเภท ตามมาด้วยกรุงโฮจิมินห์และฮานอย รวมถึงมีจำนวนธุรกิจ FDI 4 แห่ง ประกอบไปด้วยบริษัทญี่ปุ่น 2 ราย, บริษัทเกาหลีใต้ 1 ราย และบริษัทสหรัฐฯ 1 ราย ที่ได้ตัดสินใจทุ่มเงินลงทุน 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกและตลาดในประเทศ รวมถึงมีนักลงทุนในประเทศอีก 2 ราย ได้แก่ Long Hau company และ Bien Dong electric automation technology company ทั้งนี้ จากรายงานของคณะกรรมการ ระบุว่า UAC ได้ลงทุนก่อสร้างโรงงาน 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ซึ่งได้เสร็จสิ้นการก่อสร้างแล้วและเริ่มต้นการผลิตในสิ้นปี 2562 นอกจากนี้ เมืองแห่งนี้ได้เรียกร้องให้มีการลงทุนจาก Silicon Valley และธุรกิจจากสหรัฐฯที่เกี่ยวข้องกับบริการสุขภาพ รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค การศึกา อสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรม DHTP และ IZs

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/653256/564-million-poured-in-da-nang-hi-tech-park.html