สปป.ลาว กำหนดเป้าหมาย ‘แผนพัฒนาพลังงานและเหมืองแร่ระยะ 5 ปี’

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ สปป.ลาว กล่าวในการประชุมสามัญสมัยสามัญครั้งที่ 6 ถึงข้อมูลการออกใบอนุญาตให้กับบริษัทขุดแร่หายาก จำนวน 15 บริษัทที่ถือใบอนุญาตแบบไม่เร่งด่วนสำหรับขั้นตอนการสำรวจ และอีกจำนวน 13 บริษัท มีใบอนุญาตสำหรับการดำเนินการขุด แต่ใน 13 บริษัท มีเพียง 3 บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตในการขายแร่ปริมาณ 19,500 ตัน โดย 5,409 ตัน มีสิทธิ์ส่งออกไปยังจีนได้ นอกจากนี้ มีเพียง 4 ใน 15 บริษัท ที่ได้รับใบอนุญาตแบบไม่เร่งด่วนเท่านั้นที่เสร็จสิ้นการประเมินและสำรวจทรัพยากรเบื้องต้น เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้ กระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ได้ร่างแผนงานที่ครอบคลุม โดยกำหนดเป้าหมาย 6 ประการสำหรับแผนพัฒนาพลังงานและเหมืองแร่ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2564-2568) โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมถึงการสร้างข้อมูลทางธรณีวิทยาขั้นพื้นฐาน การกำหนดนโยบายแร่ การพัฒนากลไกการบริหาร การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งของรัฐวิสาหกิจการพัฒนาแร่ และการบูรณาการการพัฒนาที่ยั่งยืนและการเติบโตสีเขียวเข้าไปในแผนฯ นอกจากนี้ กระทรวงกำลังพิจารณาที่จะรวมกฎหมายดังกล่าวเข้ากับกฎหมายฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในต้นปี 2567

ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/11/10/laos-sets-targets-in-5-year-energy-mines-development-plan/

‘สหรัฐอเมริกา’ ยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

สหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เวียดนามกลายมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 7 ของสหรัฐฯ และยังเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยจากตัวเลขสถิติการค้าระหว่างประเทศ พบว่ายอดการค้าระหว่างทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 16% ต่อปี เพิ่มขึ้นเกินกว่า 550% จาก 21.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2554 ขึ้นมาอยู่ที่ 123 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่อันดับที่ 11 จาก 108 นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในเวียดนาม และมีการลงทุน 1,200 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนราว 11.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ กิจการรายใหญ่ของสหรัฐฯ ยังคงให้ความสนใจและต้องการลงทุนระยะยาวในเวียดนาม รวมถึงมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความร่วมมือกับเวียดนามและร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/us-remains-vietnams-largest-export-market-post1058710.vov

‘Fitch Ratings’ มองเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเชิงบวก

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’ (Fitch Ratings) คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามปี 2567 ขยายตัวที่ 6.3% และ 7.0% ในปี 2568 ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจเวียดนามในระยะกลางยังคงอยู่ในระดับที่ดีและคงรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากตัวเลขสถิติของสถาบันจัดอันดับ พบว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเวียดนามในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ชะลอตัวลง 4.3% ท่ามกลางอุปสงค์จากต่างประเทศที่อ่อนแอ รวมถึงปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังยืดเยื้อ นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ และยังส่งผลให้ธนาคารกลางหลายแห่งดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ที่มา : https://dtinews.dantri.com.vn/en/news/017/86307/fitch-ratings-remains-optimistic-about-vietnam-s-economic-growth.html

จ๊าด อ่อนค่าเมื่อเทียบกับ ดอลลาร์ ที่ประมาณ 3,300 จ๊าด ในตลาดซื้อขายที่ไม่เป็นทางการ

จ๊าตอ่อนค่าลงเป็น 3,310 จ๊าด/ดอลลาร์ ในตลาดซื้อขายที่ไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจาก 3,230 จ๊าด/ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ปัจจุบันธนาคารกลางเมียนมาร์กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ที่ 2,100 จ๊าด/ดอลลาร์ ธนาคารกลางเมียนมาร์ได้กำหนดขอบเขตความผันผวนของการซื้อ-ขายสกุลเงินจ๊าดไว้ที่ร้อยละ 0.3 สำหรับการทำธุรกรรมการขายหรือการซื้อมีผลมาตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2565 โดยสถาบันการเงิน รวมถึงธนาคารและจุดแลกเปลี่ยนเงินนอกระบบได้รับคำสั่งให้กำหนดมูลค่าเงินดอลลาร์ที่ 2,094 จ๊าด/ดอลลาร์ สำหรับการซื้อ และ 2,106 จ๊าด/ดอลลาร์ สำหรับการขาย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 11 พฤศจิกายนอัตราแลกเปลี่ยน จ๊าดต่อดอลลาร์ ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์อยู่ที่ 3,270 จ๊าด/ดอลลาร์ สำหรับการซื้อ และ 3,310 จ๊าด/ดอลลาร์ สำหรับขาย แม้ว่าราคาอ้างอิงของธนาคารกลางแห่งเมียนมาจะมีความแตกต่างอย่างมากกับอัตราตลาดที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งธนาคารกลางแห่งเมียนมาไม่สามารถกำหนดราคาใหม่ได้ ตามประกาศที่เผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม 2566

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/kyat-depreciates-against-dollar-at-around-k3300-in-grey-market/#article-title

เมียนมา และจีนลงนามข้อตกลงซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 โครงการ

ตามการแถลงของสถานเอกอัครราชทูตจีนในเมียนมา การลงนามข้อตกลงระหว่างเมียนมาและจีนในการซื้อไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 โครงการ ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเนปิดอว์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน โดยคำแถลงระบุว่า กำลังการผลิตรวมของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 โครงการของ Kyeon Kyeewa, Kinda และ Sedoktaya ในเขต Magway และ Mandalay ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Power China Resources Ltd. และกระทรวงพลังงานไฟฟ้าของเมียนมา อยู่ที่ 90 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับรองรับการพัฒนาของ ภูมิภาค ด้านรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานไฟฟ้าแห่งสหภาพ ชื่นชมความคืบหน้าของโครงการความร่วมมือด้านพลังงานแสงอาทิตย์ และหารือทัศนคติที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านไฟฟ้าจีน-เมียนมาต่อไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการพัฒนาของทั้งสองประเทศ และดึงดูดความสนใจของประชาชนเมียนมามากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามผลข้อตกลงของการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 3 การพัฒนาการเชื่อมต่อไฟฟ้าระหว่างจีน-เมียนมา ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหา “ความต้องการไฟฟ้า” ของเมียนมา และรองรับการก่อสร้าง ระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-china-sign-agreement-to-purchase-electricity-from-three-solar-power-plant-projects/#article-title

เมียนมา เอธิโอเปีย ร่วมมือกันภาคการค้า อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม

ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเมียนมาระบุ เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำอินเดียและเอกอัครราชทูตเอธิโอเปียประจำอินเดีย ได้จัดการเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างเมียนมาและเอธิโอเปีย ในการพัฒนาภาคการค้า อุตสาหกรรม และการเกษตร โดยมีการหารือกันเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่สถานทูตเมียนมาในอินเดีย U Moe Kyaw Aung เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำอินเดีย และ Mr. Demeke Atnafu Ambulo เอกอัครราชทูตเอธิโอเปียประจำอินเดีย กล่าวถึงประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับความร่วมมือทางการเมืองและสถานการณ์การค้าระหว่างเมียนมาและเอธิโอเปีย ตลอดจนแนวโน้มความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมและการพัฒนาภาคเกษตรกรรม

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-ethiopia-to-cooperate-in-trade-industrial-agriculture-sectors/#article-title

ท่าอากาศยานนานาชาติ “เสียมราฐ-อังกอร์” พร้อมให้บริการเชื่อมสายการบินต่างๆ ทั่วโลก

ท่าอากาศยานนานาชาติ เสียมราฐ-อังกอร์ (SAI) พร้อมเปิดให้บริการเชื่อมสายการบินต่างๆ ทั่วโลก โดยในช่วงแรกของการเปิดให้บริการมีจำนวนสายการบินที่ให้บริการภายในสนามบิน SAI จาก 7 สายการบิน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 สายการบิน ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หลังบรรลุข้อตกลงกับสายการบินต่างๆ รวมถึงในช่วงสิ้นปีถือเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังกัมพูชาเป็นจำนวนมาก สำหรับจำนวนผู้โดยสารทางอากาศที่เดินทางผ่าน SAI เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3,200 คนต่อวัน จากจำนวน 2,600 คน ที่บันทึกไว้เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักงานเลขาธิการการบินพลเรือนกัมพูชา (SSCA) ขณะที่การรองรับเที่ยวบินสามารถรองรับได้สูงสุด 42 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 34 เที่ยวบินต่อวัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนที่แล้ว ซึ่งจุดหมายปลายทางส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคอาเซียนและจีน ด้านกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 พ.ย.) ว่า กัมพูชาให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ราว 3.92 ล้านคน ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 211 จาก 1.26 ล้านคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501389376/more-airlines-set-to-operate-from-sai-airport/

อาเซียน-จีน ตั้งเป้าอัปเกรด FTA ให้ได้เกินครึ่งทางภายในปีนี้ ก่อนสรุปผลปี 67

น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยได้เข้าร่วมการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA Upgrade Negotiations) ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 25-29 ต.ค.2566 ที่ผ่านมา ณ เมืองบันดุง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีนายหวี เปิ่นหลิน อธิบดีกรมเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ เป็นประธานฝ่ายจีน โดยไทยในฐานะประธานร่วมฝ่ายอาเซียนได้ร่วมกับจีนผลักดันให้การเจรจารอบนี้ มีความคืบหน้ามากที่สุด ซึ่งตั้งเป้าให้การเจรจาคืบหน้าได้เกินครึ่งทางภายในปีนี้ เพื่อสรุปผลการเจรจาภายในปี 2567 ทั้งนี้ จีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรอบต่อไป ในช่วงปลายเดือน ม.ค.2567 ณ กรุงปักกิ่ง

ที่มา : https://corehoononline.com/index.php/economy/commerce-moc/showcontent/214785.html

ทางการกัมพูชาจัดงานประกวด “หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์”

คณะกรรมการแห่งชาติกัมพูชาวางแผนจัดการประกวด หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OVOP) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่คาดว่าจะสนับสนุนให้ผู้ผลิตปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยปัจจุบันทางการได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการสำหรับกำหนดกฎเกณฑ์การเป็นสมาชิก OVOP ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (7 พ.ย.) นำโดย Ouk Rabun รัฐมนตรีอาวุโสและประธานคณะกรรมการแห่งชาติสำหรับ OVOP โดยจะจัดอันดับให้กับผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1,2,3,4 และ 5 ดาว ผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญบนมาตรฐานที่ทางการได้กำหนดไว้ สำหรับปัจจุบันมีสินค้าประมาณ 680 รายการ ที่ลงทะเบียนภายใต้โครงการ OVOP และส่วนใหญ่มีการจัดหน่ายแล้วในห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น ซึ่ง OVOP ถือเป็นกลไกในการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นใช้ทรัพยากรและทักษะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับตลาดในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังส่งเสริมการเพิ่มรายได้ให้กับภาคประชาชน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501389363/contest-to-rate-village-products-planned/

‘อินเทล’ ระงับแผนการผลิตชิปในเวียดนาม

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่าบริษัทอินเทล (Intel) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ตัดสินใจระงับการลงทุนในเวียดนาม ซึ่งเป็นแผนที่จะเพิ่มขนาดของการดำเนินธุรกิจได้เกือบ 2 เท่า โดยการระงับการลงทุนในครั้งนี้ นับเป็นอุปสรรคสำคัญของประเทศที่ตั้งเป้าหมายที่มีความต้องการในการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก ทั้งนี้ โรงงานผลิตของบริษัทในเมืองโฮจิมินห์ มีมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเปิดเมื่อปี 2010 ถือเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการประกอบ บรรจุภัณฑ์และการทดสอบ รวมถึงโรงงานแห่งนี้ยังมีพนักงานรวมทั้งสิ้น 2,800 คน และส่งออกสินค้าของบริษัทมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลาของการดำเนินงาน 15 ปี นอกจากนี้ ในอีกประเด็นข้อกังวล คือ ระบบราชการที่เคร่งครัดของเวียดนามที่เป็นปัญหาของธุรกิจต่างชาติ

ที่มา : https://thediplomat.com/2023/11/intel-backs-out-of-planned-vietnam-chip-expansion-report-claims/