ACFTA ดันการค้าทวิภาคี กัมพูชา-จีน แตะ 11.69 พันล้านดอลลาร์

ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ได้ส่งเสริมการค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและจีนนับตั้งแต่ปี 2010 โดยปัจจุบันทางการจีนพยามยามผลักดันการเจรจา FTA เป็นเวอร์ชัน 3.0 ซึ่งข้อตกลง ACFTA ได้เริ่มมีผลบังคับใช้มาแล้ว 13 ปี ส่งผลทำให้การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและจีนเติบโตถึง 10 เท่า นับตั้งแต่ปี 2010 จากมูลค่า 1.25 พันล้านดอลลาร์ สู่ 11.69 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2022 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 21.37 กล่าวโดย Tat Puthsodary รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ในระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการ ณ กรุงพนมเปญ ขณะที่ Academy for International Business Officials (AIBO) หน่วยงายร่วมของกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกัมพูชา ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ 4 วัน โดยมุ่งสร้างขีดความสามารถให้กับเจ้าหน้าที่กัมพูชาในเรื่องกฎแห่งถิ่นกำเนิดสินค้า ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าของกัมพูชา สำหรับการค้าระหว่างทั้งสองประเทศมีมูลค่าเกือบ 980 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2022 มากกว่าปี 2013 ถึง 1.2 เท่า ที่มูลค่าประมาณ 440 พันล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501380743/acfta-boosts-cambodia-china-bilateral-trade-to-11-69-billion/

‘ปานปรีย์’ เตรียมเยือนเวียดนาม สัปดาห์นี้

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศของไทย ได้เตรียมเดินทางมาเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 ต.ค.66 ตามคำเชิญของนายบุ่ย แทงห์ เซิน รมว.การต่างประเทศของเวียดนาม โดยการเยือนในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศของไทยในเดือน ก.ย. ปีนี้

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายรักษาการแลกเปลี่ยนและการติดต่อระหว่างผู้นำระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ ประสานงานอย่างใกล้ชิด และสนับสนุนซึ่งกันและกันในเวทีระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ โดยเฉพาะกลไกอนุภูมิภาคอาเซียนและลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีส่วนในการเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในอาเซียน

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/thai-deputy-prime-minister-and-foreign-minister-to-visit-viet-nam-this-week-2206126.html

‘แบงก์ชาติเวียดนาม’ เผยหนี้เสียในระบบ พุ่ง 3.56%

จากข้อมูลของธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) เปิดเผยว่าอัตราส่วนหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้นจาก 2% เมื่อต้นปีนี้ ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 3.56% หรือมากกว่า 440 ล้านล้านด่อง ณ สิ้นเดือนก.ค.66 รวมไปถึงหนี้เสียที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (VAMC) และยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้เสียในระบบได้ ส่งผลให้อัตราหนี้เสียเพิ่มขึ้น 6.16% ทั้งนี้ นาง เหงียน ถิ ห่ง ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติเวียดนาม เปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 21 ก.ย.66 พบว่ายอดสินเชื่อคงค้างในระบบ มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นมากกว่า 12.62 พันล้านล้านด่อง เพิ่มขึ้น 5.91% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะหนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1605583/bad-debt-ratio-of-banking-system-surges-to-3-56-per-cent.html

ราคาอาหารใน สปป.ลาว ยังมีระดับสูง ส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือน แม้อัตราเงินเฟ้อล่าสุดปรับลดลง

แม้อัตราเงินเฟ้อของลาวเดือนกันยายน 2566 ปรับลดลงจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 25.69% แต่ราคาสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคหลายรายการยังมีราคาที่สูงอยู่ เช่น อาหาร สินค้าด้านสุขภาพ สินค้าด้านการศึกษา และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งกระทบต่อค่าครองชีพของหลายครัวเรือนที่ปรับสูงขึ้นส่วนทางกับรายได้ของครอบครัว ทำให้ผู้บริโภคหลายครัวเรือนในลาวเผชิญกับความยากลำบากในการดำรงชีพ ทั้งนี้ รัฐบาลลาวได้นำเสนอนโยบายและมาตรการหลายอย่างเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อสูง รวมถึงการเพิ่มการผลิตภายในประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยว จำกัดการนำเข้าสินค้าที่สามารถผลิตได้ในประเทศ

ที่มา : https://english.news.cn/20231024/8d14428a3ae34f90b9c8d197be24cb0a/c.html

ราคาขายส่งอ้างอิงน้ำมันปาล์มของ ย่างกุ้ง เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม

อัตราอ้างอิงราคาขายส่งน้ำมันปาล์มของตลาดย่างกุ้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ณ วันที่ 30 ตุลาคม ตามการรายงานของคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการนำเข้าและจัดจำหน่ายน้ำมันบริโภค โดยราคาขายส่งถูกกำหนดให้ต่ำลงอยุ่ที่ 4,275 จ๊าดต่อ viss เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ถึง 22 ตุลาคมที่ผ่านมา สำหรับในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม (สิ้นสุด ณ 30 ตุลาคม 2566) ราคาขายส่งถูกกำหนดให้สูงขึ้นเป็น 4,395 จ๊าดต่อ viss ทั้งนี้ ราคาตลาดยังคงสูงกว่าราคาอ้างอิง ด้านคณะกรรมการกำกับดูแลการนำเข้าและจำหน่ายน้ำมันบริโภคในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามราคา FOB ในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียอย่างใกล้ชิด รวมถึงค่าขนส่ง ภาษี และบริการทางธนาคาร เพื่อกำหนดอัตราอ้างอิงตลาดขายส่งน้ำมันบริโภคทุกสัปดาห์ และแก้ไขปัญหาราคาที่สูงเกินจริง กรมกิจการผู้บริโภค กระทรวงพาณิชย์ของเมียนมา ร่วมกับสมาคมผู้ค้าน้ำมันบริโภคแห่งเมียนมาร์และบริษัทนำเข้าน้ำมัน ได้มีการร่วมมือกันในการควบคุมความผันผวนของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดค้าปลีก และเสนอราคาที่ยุติธรรมมากขึ้นแก่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าน้ำมันบริโภคแห่งเมียนมาร์ได้จัดตั้งคณะทำงานด้านเสถียรภาพราคาน้ำมันบริโภค และเริ่มแจ้งรายชื่อร้านค้าขายส่ง/ขายปลีกของแต่ละบริษัทตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม รวมถึงที่อยู่ของร้านค้าในเมืองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและจำนวนถังที่มีอยู่

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/ygn-palm-oil-wholesale-reference-price-slightly-rises-for-week-ending-30-october/

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหภาพเมียนมา ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตจีน

อู ตาน ส่วย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหภาพเมียนมา ให้การต้อนรับนายเฉิน ไห่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเมียนมา ณ กรุงเนปิดอว์ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของ “ความสัมพันธ์การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน” บนพื้นฐานมิตรภาพ ความสัมพันธ์ “ฉันพี่น้อง” (Pauk-phaw) ที่มีอยู่ การเร่งดำเนินโครงการทวิภาคี ระหว่างเมียนมา-จีนที่กำลังดำเนินอยู่ภายใต้กรอบความคิดริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ และหลักนิติธรรมตามแนวชายแดนระหว่างเมียนมาและจีน การส่งผู้พลัดถิ่นที่ได้รับการตรวจสอบกลับประเทศจากรัฐยะไข่ และการสนับสนุนเชิงสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องของจีนต่อความพยายามในการพัฒนาของเมียนมา ตลอดจนความร่วมมือในเวทีภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอาเซียนและ สหประชาชาติ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/dpm-mofa-union-minister-receives-chinese-ambassador-2/

รัฐบาล สปป.ลาว อัดฉีดเงิน 7.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หวังยกระดับ SMEs แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สปป.ลาว ได้อัดฉีดเม็ดเงินราว 1.52 แสนล้านกีบ หรือประมาณ 7.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับช่วยเหลือ SMEs ในลาว เพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งอัตราเงินเฟ้อ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ราคาสินค้าที่สูงขึ้น และหนี้ต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาล สปป.ลาว ยังได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินที่ตกต่ำ

ที่มา : https://english.news.cn/20231024/2184a85d8c0a4758b88b6aff83ac8e9e/c.html