ภูมิธรรม พบทูตเช็ก ดึงลงทุนเข้า EEC ขอเสียงหนุนเจรจา FTA ไทย-อียู

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับนายปาเวล ปีเตล (H.E. Mr.Pavel Pitel) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กประจำประเทศไทย ว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าในโอกาสที่ไทยและเช็กฉลองสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครอบรอบ 50 ปี เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ต้องการให้ผลักดันและสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ผมได้เชิญชวนให้ ทูตสาธารณรัฐเช็ก ขยายการลงทุนเพิ่มในไทย ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาอุตสาหกรรมที่เช็กมีความเชี่ยวชาญ เช่น การผลิตรถยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการป้องกันประเทศ โดยเช็กสามารถใช้ไทยเป็นศูนย์กลางเพื่อขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนได้ นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ได้หารือประเด็นการค้าสำคัญอื่นๆ เช่น ความเป็นไปได้ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่ไทยและเช็กมีศักยภาพ และผลักดัน soft power เช่น มวยไทย การท่องเที่ยว ให้เป็นรูปธรรมต่อไป รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ที่อยู่ระหว่างการเจรจา โดยได้ขอให้เช็กในฐานะประเทศสมาชิกของ EU สนับสนุนการเจรจาดังกล่าว เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้โดยเร็ว เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก EU 27 ประเทศ รวมถึงเช็กด้วย ซึ่งท่านทูตเช็กได้แจ้งพร้อมให้การสนับสนุนการเจรจา FTA กับไทยอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า เช็กเป็นคู่ค้าอันดับที่ 43 ของไทย และอันดับที่ 8 จาก EU โดยในปี 2566 ไทยและเช็กมีการค้าระหว่างกันรวม 1,137.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (39,387.75 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 3.62 มีสัดส่วนการค้ารวมคิดเป็นร้อยละ 0.20 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปเช็ก 784.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (27,064.81 ล้านบาท) และไทยนำเข้าจากเช็ก 353.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (12,322.94 ล้านบาท) สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/economy/news-1531031

ก.สาธารณสุข สปป.ลาว สั่งเฝ้าระวังหลังพบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ 54 ราย ในแขวงจำปาสัก

กระทรวงสาธารณสุข สปป.ลาว ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศเฝ้าระวังภายหลังมีรายงานผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ 54 ราย ใน 2 เมืองของแขวงจำปาสัก โดยสั่งให้ประชาชนให้ความร่วมมือในการติดตามแหล่งที่มาของการติดเชื้อ รวบรวมข้อมูลที่จำเป็น กักกันพื้นที่เสี่ยงและกำจัดสัตว์ที่ติดเชื้อ ทั้งนี้ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกแบ่งออกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคแอนแทรกซ์ และโรงฆ่าสัตว์บางแห่งจะถูกห้ามฆ่าวัวและควาย กรมควบคุมโรคติดต่อแนะนำเจ้าของสัตว์ควรเฝ้าระวังอาการโรคแอนแทรกซ์ในสัตว์อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนจับตาดูสัตว์เลี้ยงของตนอย่างใกล้ชิดเพื่อดูสัญญาณของการเจ็บป่วย และรายงานกรณีที่น่าสงสัยให้สัตวแพทย์ประจำหมู่บ้านทราบทันที กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ในเมืองสุขุมา แขวงจำปาสัก ที่ได้รับผลกระทบ ติดตามการฆ่าสัตว์และการบริโภคเนื้อสัตว์ในพื้นที่ที่เกิดการติดเชื้อ รวมถึงมอบหมายให้ฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ที่ตรวจพบผู้ป่วย เพื่อป้องกันการระบาด กรมวิชาการเกษตรประจำเขตได้ออกประกาศให้ทุกภาคส่วนทั้งผู้อยู่อาศัยและธุรกิจขนาดเล็ก ห้ามค้าสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์นอกเขต

ที่มา : https://english.news.cn/20240325/a4456b16c86a45f09f9de397d530ddef/c.html

โครงการ Green CUP ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวสินค้ากาแฟและชาของ สปป.ลาว

กาแฟและชาเป็นมากกว่าเครื่องดื่มยอดนิยมใน สปป.ลาว แต่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในประเทศ ภายใต้ความร่วมมืออันยาวนานระหว่างฝรั่งเศสและ สปป.ลาว ด้วยตระหนักถึงคุณค่าของกาแฟและชาที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาล สปป.ลาว และพันธมิตรด้านการพัฒนาในยุโรปจึงได้ทำงานร่วมกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อปรับปรุงการผลิต คุณภาพ และการเข้าถึงตลาดสำหรับกาแฟและชา ปัจจุบันกาแฟและชามีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจของ สปป.ลาว โดยมีมูลค่าการส่งออกเกือบ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทำให้ สปป.ลาว เป็นผู้ส่งออกกาแฟอันดับที่ 34 ของโลก และชาอันดับที่ 63 ของโลก โครงการ Green CUP พยายามที่จะสนับสนุนการค้าและการลงทุนในระบบเศรษฐกิจสีเขียวสำหรับภาคส่วนการผลิตกาแฟและชา ผ่านวิถีชุมชนเกษตรกร ห่วงโซ่คุณค่าที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ และการเข้าถึงตลาดที่ยั่งยืนและมีมูลค่าสูง โดยเฉพาะตลาดยุโรป

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_62_Bolstering_y24.php

กัมพูชา-สปป.ลาว ขยายความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า

นายกรัฐมนตรี ฮุน มานิต ของกัมพูชา และนายกรัฐมนตรี Sonexay Siphandone แห่ง สปป.ลาว ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง 3 ฉบับ และ บันทึกความเข้าใจ (MoUs) อีก 4 ฉบับ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งมุ่งเน้นการขยายความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ด้านการค้าพลังงานไฟฟ้า เพื่อการพัฒนาด้านพลังงานในกัมพูชา โดยทั้งสองท่านได้ร่วมเป็นประธานในการลงนามเอกสารทั้งเจ็ดฉบับ ซึ่งห้าฉบับเป็นความตกลงด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นของกัมพูชา โดยเฉพาะโครงการระหว่างกระทรวงเหมืองแร่และพลังงาน (MME) และ การไฟฟ้าแห่งประเทศ สปป.ลาว (EDL) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อซื้อพลังงานสีเขียวจากโครงการ Green Energy Supply ซึ่งวางแผนจัดหาพลังงานมายังกัมพูชา 1,000 เมกะวัตต์ จากโครงการพลังงานน้ำ พลังงานลม และ พลังงานความร้อนใต้พิภพ (พลังงานหมุนเวียนที่ได้จากแก่นโลก) มายังกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501462332/kingdom-laos-agree-to-widen-energy-cooperation/

สกุลเงินเรียลของกัมพูชาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในสถาบันการเงินขนาดย่อม

การใช้สกุลเงินเรียลกัมพูชา (KHR) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในด้านเงินฝาก สินเชื่อ และธุรกรรมการชำระเงิน โดยเฉพาะในฝั่งของสถาบันการเงินขนาดย่อย (CMA) สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพฤติกรรมการออมเงินของประชาชน ซึ่งในปี 2023 สินเชื่อที่ปล่อยเป็นสกุลเงินเรียลมูลค่ารวม 5.56 ล้านล้านเรียล (ประมาณ 1.38 พันล้านดอลลาร์) หรือคิดเป็นร้อยละ 25 จากการปล่อยสินเชื่อทั้งหมด และเงินฝากมูลค่ารวม 1.52 ล้านล้านเรียล (ประมาณ 375 ล้านดอลลาร์) หรือคิดเป็นร้อยละ 16 จากปริมาณเงินฝากทั้งหมดเป็นสกุลเงินเรียล สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดไว้ก่อนหน้านี้ ด้านธนาคารชาติกัมพูชา (NBC) รายงานเสริมว่า การเติบโตของการทำธุรกรรมผ่านระบบการชำระเงิน Bakong ของกัมพูชา โดยมีธุรกรรมสกุลเงินเรียลเพิ่มขึ้นถึง 3.4 เท่า ซึ่งมากกว่าการทำธุรกรรมด้วยเงินสกุลดอลลาร์ ถือเป็นสัญญานที่ดีต่อการใช้สกุลเงินเรียลในระบบเศรษฐกิจของกัมพูชา เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางด้านการเงินกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501462314/riel-usage-in-microfinance-transactions-increases/

‘แบงก์ชาติเวียดนาม’ แจ้งสถาบันผู้ออกบัตร เร่งตรวจสอบขั้นตอนการออกบัตร

ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ประกาศคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการทบทวนในเรื่องขั้นตอนการออกบัตรและการจัดการบัตรธนาคาร (Bank Card) ซึ่งธนาคารกลางให้ความสำคัญมากที่สุดในการรักษาความปลอดภัย สิทธิของผู้บริโภคและธนาคารที่ได้รับความคุ้มครอบภายใต้กฎหมายและระเบียบในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม อัตราดอกเบี้ย วิธีการคำนวณดอกเบี้ย เป็นต้น การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของธนาคารกลางอย่างเคร่งครัดและจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกค้าได้รับแจ้งสิทธิและภาระผูกพันของตน โดยเฉพาะบัตรเครดิต

นอกจากนี้ ธนาคารกลางเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ใช้มาตรการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลและทราบถึงสิทธิของตน รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1652701/central-bank-told-card-issuers-to-review-procedures.html

ออสเตรเลียจับมือธนาคารโลก สนับสนุนเงินทุนเพื่อเชื่อมเส้นคมนาคมใน สปป.ลาว

การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมเป็นเป้าหมายของ สปป.ลาว และเป็นเป้าหมายของอาเซียน นี่คือสาเหตุที่ธนาคารโลกและรัฐบาล สปป.ลาว ได้ลงทุนโครงการมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ร่วมกับพันธมิตรหลายประเทศในภาคเหนือของลาว ภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทอาเซียนด้านการเชื่อมต่อ โครงการจะยกระดับถนนแห่งชาติลาว 2 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างไทย ลาว และเวียดนาม เพื่อสร้างทางเดินตะวันออก-ตะวันตกใหม่ นอกจากนี้ ยังจะเชื่อมต่อถนนท้องถิ่นในแขวงหลวงน้ำทา หลวงพระบาง อุดมไซ พงสาลี และไชยะบูลี เพื่อปรับปรุงการขนส่ง อำนวยความสะดวกทางการค้า และเร่งการเคลื่อนย้ายสินค้าและผู้คน โดยออสเตรเลียบริจาคเงินมากกว่า 12 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (7.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผ่านโครงการความร่วมมือระดับภูมิภาคสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/03/26/australia-joins-world-bank-to-support-laos-land-linked-agenda/

รัฐบาล สปป.ลาว เพิ่มเงินอุดหนุนพิเศษแก่ข้าราชการที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 1.7 ล้านกีบ

รัฐบาล สปป.ลาว ประกาศเพิ่มเงินอุดหนุนพิเศษรายเดือนอีก 150,000 กีบต่อเดือน (7.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน) สำหรับข้าราชการ รวมถึงทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ ลูกจ้างที่เกษียณอายุ และบุคคลทุพพลภาพ ประกาศดังกล่าว ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างรวดเร็วในสังคม หลายคนมองว่าการเพิ่มขึ้นของเงินอุดหนุนน้อยเกินปไม่เพียงพอกับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน โดนค่าแรงขั้นต่ำใน สปป.ลาว ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 1.6 ล้านกีบต่อเดือน (76.22 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน) ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย เวียดนาม และกัมพูชา ตามรายงานจากสำนักงานสถิติ สปป.ลาว ปัจจุบันลาวกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่รุนแรง โดยอัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 25.35 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 การเพิ่มขึ้นนี้มีสาเหตุหลักมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล ส่งผลให้ราคาอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงขึ้น แม้ว่าเงินกีบจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์และเงินบาท แต่ผู้ค้าในตลาดยังไม่ได้ปรับราคาตามนั้น เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้ รัฐบาลได้อนุมัติร่างกฎหมายและกฤษฎีกาเบื้องต้นเพื่อจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงกฎหมายว่าด้วยการกระจายอำนาจการท่องเที่ยว มาตรการต่อต้านการฟอกเงิน และการจัดตั้งท่าเรือบก

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/03/25/government-faces-backlash-after-notice-of-low-subsidy-raise-for-civil-servants/

‘สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด’ คาดการณ์ GDP เวียดนามไตรมาส 1/67 โต 6.1%

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (Standard Chartered) คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนามในไตรมาสแรกของปีนี้ ขยายตัว 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) จาก 6.7% ในไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้ว และคาดการณ์ว่า GDP ของปี 2567 จะขยายตัวที่ 6.7% โดยจากข้อมูลในเดือน มี.ค. แสดงให้เห็นว่าทิศทางของภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว จากแรงหนุนภาคการค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น 9.2%YoY ในขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 5.2%YoY และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 5.0%YoY ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.2%YoY ในเดือน มี.ค ดีดตัวสูงขึ้นจาก 4.0% ในเดือน ก.พ.

ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้จะมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง แต่คาดการณ์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเวียดนามยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดีควรประเมินและเตรียมการรับมือในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเผชิญกับปัญหาอุปสรรคการค้าโลก

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/standard-chartered-forecasts-vietnam-s-gdp-in-q1-to-moderate-to-6-1-2263679.html

การส่งออกสินค้าประมงทะลุ 675 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 15 มีนาคม

อู ยุนท์ วิน ผู้อำนวยการกรมประมง (เนปิดอ) กล่าวว่า เมียนมาส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงมากกว่า 300 ชนิด ซึ่งมีมูลค่า 675.958 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปยัง 45 ประเทศ ณ วันที่ 15 มีนาคม ในปีงบประมาณปัจจุบัน พ.ศ. 2566-2567 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ สินค้าประมงจะถูกจัดส่งไปยังคู่ค้าต่างประเทศผ่านช่องทางการค้าทางทะเล และทางชายแดน โดยการส่งออกทางทะเลเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 หากเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า อย่างไรก็ดี การส่งออกกุ้งในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกุ้งเลี้ยงจากตะนาวศรีเป็นสินค้าซื้อขายที่มีมูลค่ามากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีปลามากกว่า 20 ชนิด รวมถึงฮิลซา ปลากะพง ปลาโรหู ปลาดุกแม่น้ำ และปลาบาร์บัส โดยที่คู่ค้าหลักที่เมียนมาส่งออกไป ได้แก่ ญี่ปุ่น ประเทศในตะวันออกกลาง ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป มาเลเซีย จีนไทเป และออสเตรเลีย นอกจากนี้ สหพันธ์ประมงเมียนมาและกรมประมงกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนการส่งออกประมงในฐานะความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในขณะที่การส่งออกอาหารทะเลไปยังประเทศต่างๆ เช่น จีน มีการตรวจสอบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทานกำลังพยายามปฏิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัดเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกประมง

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/fishery-exports-cross-us675-mln-as-of-15-march/#article-title