ยางมากกว่า 90,000 ตัน ของเมียนมาร์ส่งออกไปยัง 7 ประเทศ

ตามการระบุของ สมาคมนักวางแผนและผู้ผลิตยางเมียนมาร์ กล่าวว่า ในปีงบประมาณนี้ ยางมากกว่า 90,000 ตันถูกส่งออกไปยัง 7 ประเทศ โดยการผลิตยางร้อยละ 75 ถูกส่งออกไปยังประเทศจีน เช่นเดียวกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย ทั้งนี้ สมาคมได้เริ่มวางแผนที่จะส่งออกไปยังจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอินเดีย อย่างไรก็ดี ในช่วงปีงบประมาณ 2018-2019 ถึงปีงบประมาณ 2022-2023 รายได้จากการส่งออกยางอยู่ที่ระหว่าง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 450 ล้านดอลลาร์โดยเฉลี่ย เมียนมาร์พื้นที่ปลูกยางพาราทั้งหมด มากกว่า 1.64 ล้านเอเคอร์ทั่วประเทศ และพื้นที่การผลิตประมาณ 950,000 เอเคอร์ ในขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 400,000 ตันตามสถิติ โดยในรัฐมอญเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ที่สุด ในขณะที่รายใหญ่เป็นอันดับสองคือเขตตะนาวศรี และใหญ่เป็นอันดับสามคือรัฐกะเหรี่ยง ยางพารายังปลูกใน เขตพะโค เขตย่างกุ้ง เขตอิรวดี รัฐฉาน รัฐคะฉิ่น เขตสะกาย ตอนบน และรัฐยะไข่ อีกด้วย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/more-than-90000-tonnes-of-rubber-exported-to-7-countries/#article-title

FTA ระหว่าง กัมพูชา-เกาหลีใต้ ดันการส่งออกเครื่องนุ่งห่มแตะ 173 ล้านดอลลาร์

FTA ดันการส่งออกสินค้ากลุ่มเครื่องนุ่งห่มของกัมพูชาไปเกาหลีใต้แตะ 173 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.84 สำหรับในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2023 ขณะที่ในปี 2022 กัมพูชาส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวไปยังเกาหลีใต้ที่มูลค่า 191.37 ล้านดอลลาร์ โดยการเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2022 ขณะที่การส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวโดยภาพรวมของกัมพูชาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.05 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มีสิทธิประโยชน์ด้านการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาหลายรายการ รวมทั้งเสื้อผ้า ทำให้สินค้ากัมพูชามีราคาที่สามารถแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดเกาหลีใต้ สำหรับอุตสาหกรรมเสื้อผ้าถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญของกัมพูชาด้วยการมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 16 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมีการจ้างงานประมาณกว่า 700,000 คน ในกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501401901/fta-boosts-cambodias-apparel-export-to-south-korea-reaches-173-million/

ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในกัมพูชาพุ่งแตะ 1,162 คัน

กระทรวงโยธาธิการและขนส่ง (MPWT) รายงานว่า ณ เดือนกันยายนปีนี้ จำนวนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งจดทะเบียนในกัมพูชาเพิ่มขึ้นเป็น 1,162 คัน ในจำนวนนี้คิดเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 573 คัน รถจักรยานยนต์สามล้อไฟฟ้า 387 คัน และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 202 คัน โดยสาเหตุหลักมาจากการตระหนักรู้เกี่ยวกับการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น ด้าน Pov Maly ปลัดกระทรวงฯ กล่าวเสริมว่า รัฐบาลกัมพูชาพร้อมที่จะผลักดันการใช้รถไฟฟ้าด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างการสร้างสถานีชาร์จเพิ่มเติมในกรุงพนมเปญและจังหวัดสำคัญต่างๆ ปัจจุบันมีสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 18 แห่งในประเทศ ขณะที่รัฐบาลได้พัฒนาแผนยุทธศาสตร์เพื่อเปลี่ยนกัมพูชาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ในระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศผ่านการให้สิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อหวังดันการพัฒนาทางเทคโนโลยีและการเพิ่มปริมาณการส่งออกของประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501401710/ev-registrations-jump-to-1162-this-year/

ธนาคาร-ผู้นำทางธุรกิจ จัดประชุมอัพเดทสถานการณ์เศรษฐกิจ สปป.ลาว ในปัจจุบัน

ธนาคาร ANZ Laos ร่วมกับ AustCham Lao จัดงานประชุมอัพเดทสถานการณ์เศรษฐกิจ สปป.ลาว ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อมูลสถานะปัจจุบันในเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจของ สปป.ลาว โดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคาร สมาชิกหอการค้าต่างประเทศ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคเอกชนเข้าร่วม บางส่วนของกิจกรรมในงานเริ่มจากการนำเสนอของ Mr.Khoon Goh หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอเชียของธนาคาร ANZ ที่นำเสนอข้อมูลการเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจระดับโลกและระดับภูมิภาคในปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อประเทศลาวในปีหน้าอย่างไร โดยเริ่มจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่กำลังเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เศรษฐกิจจะเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งก่อน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาชะลอตัวในปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศจีน เริ่มมีการฟื้นตัวจากแรงผลักดันของการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ และคาดการณ์ว่าเมื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจีนกลับมา ผู้บริโภคจีนก็จะมีเม็ดเงินส่วนเกินประมาณ 6.2 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ ที่จะผลักดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศจีน และแผ่กระจายการบริโภคมายังประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงประเทศลาว นอกจากนี้ นายเพชรสถาพร แก้ววงวิจิตร อธิบดีกรมบริหารการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ธนาคารแห่ง สปป. ลาว ได้นำเสนอภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่ประกาศใช้ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 10 ว่าด้วยการดำเนินการจัดการเงินตราต่างประเทศ โดยมุ่งเป้าไปที่การรักษาเสถียรภาพของสกุลเงินกีบ การเสริมสร้างทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และรักษามูลค่าของเงินกีบ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_236_Bankers_y23.php

สปป.ลาว-รัสเซีย ลงนามความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสนับสนุนด้านเทคนิควิทยาการ

อิเร็ก ไฟซุลลิน รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และนายคำเจน วงโพสี รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและการลงทุน สปป.ลาว ร่วมประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ และด้านเทคนิควิทยาการ ระหว่าง สปป.ลาว และรัสเซีย ครั้งที่ 17 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ โดยมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านการค้า เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และทางเทคนิควิทยาการ ภายใต้ขอบเขตของความร่วมมือทวิภาคีในด้านการค้า การธนาคาร การเงิน อุตสาหกรรม การขนส่ง พลังงาน การดูแลสุขภาพ และอื่นๆ ทั้งนี้ จากการให้ความช่วยเหลือของรัสเซียที่ผ่านมา ได้แก่ การให้โควตานักศึกษาระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษาของ สปป.ลาว เข้ารับการฝึกอบรมในมหาวิทยาลัยของรัสเซีย และในอนาคตมีความพยายามที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าของทั้งสองประเทศ โดยเริ่มจากการเชื่อมต่อการค้าผ่านเส้นทางรถไฟ เพื่อแสวงหาความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจใหม่ๆ และการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ขึ้นมาใหม่ รวมถึงการวางแผนที่จะเพิ่มจำนวนโครงการร่วมลงทุนในด้านการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ และการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_236_Lao_Russian_y23.php

ส่งออกข้าวไทยพุ่งอินโดนีเซียเจอภัยแล้ง ชี้เป็นโอกาสพร้อมเร่งพัฒนาสายพันธุ์

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ติดตามข้อมูลสถานการณ์การค้าสินค้าข้าว พบว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – ตุลาคม) อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย สาเหตุหลักมาจากอินโดนีเซียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนข้าว เนื่องจากภัยแล้งที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ รวมถึงฤดูมรสุมที่ล่าช้า ทำให้อินโดนีเซียปลูกข้าวได้น้อยลง

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2023/356781

การส่งออกสินค้าเกษตรเมียนมาร์มีรายได้ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน 8 เดือน

ตามการรายงานของกระทรวงพาณิชย์เมียนมาร์ ระบุว่า การส่งออกสินค้าเกษตรของเมียนมาร์สร้างรายได้มากกว่า 1.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตามสถิติตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนถึง 24 พฤศจิกายน ระบุว่าการส่งออกสินค้าเกษตรมีมูลค่าอยู่ที่ 1.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงประมาณ 286 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีรายได้ 2.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยผู้ส่งออกเชื่อว่าการลดลงนี้เป็นผลมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นภายในประเทศ อย่างไรก็ดี การส่งออกของประเทศครอบคลุมผลิตผลทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์ทางทะเล แร่ธาตุ ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปแบบตัดบรรจุ (CMP) และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ในขณะที่ เมียนมาร์นำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบ สินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุสำหรับผลิตสินค้า CMP เป็นหลัก นอกจากนี้ ผลิตผลทางการเกษตรส่วนใหญ่ประกอบด้วยข้าว ข้าวหัก ถั่วและถั่ว ผลไม้และผัก งา ใบชาแห้ง น้ำตาล และสินค้าเกษตรอื่นๆ โดยประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ อินเดีย อินโดนีเซีย และศรีลังกา

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/agri-exports-earn-us1-9-bln-in-eight-months/#article-title

‘ปราโมทย์’ เผยข้าวไทยขายดี รับอานิสงค์เวียดนาม

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่าข้าวไทยหลายพันธ์มีราคาสูงขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว โดยก่อนหน้านี้ราคาข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 8,000–9,500 บาทต่อตัน แต่ราคาข้าวในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12,000 บาทต่อตัน (344 ดอลลาร์สหรัฐ) ส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศพุ่งสูงสุดในรอบ 17 ปี

ในขณะที่นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุว่าความต้องการข้าวไทยจากบราซิลและฟิลิปปินส์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ จากการสอบถามไปยังโรงสีข้าวไทย พบว่าจากราคาข้าวของเวียดนามในขณะนี้ที่สูงกว่าราคาข้าวของไทย ประมาณ 70-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เนื่องจากผลผลิตในประเทศมีไม่เพียงพอ

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20231205/thai-rice-sells-well-thanks-to-vietnam-association-president/77099.html