‘HSBC’ คาดเงินเฟ้อเวียดนามสูงขึ้นเล็กน้อย

ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ได้ปรับคาดการณ์เงินเฟ้อของเวียดนามในปี 2565 จาก 2.7% มาอยู่ที่ 3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ในระดับเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัญญาเชิงบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยจำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่ก่อนเทศกาลตรุษญวน รัฐบาลประกาศว่าจะไม่มีการกลับมาล็อกดาวน์และข้อจำกัดการกิจกรรมทางสังคมต่างๆ รวมถึงการดำเนินนโยบายของรัฐฯ ที่ให้อยู่ร่วมกับเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของโครงการฉีดวัคซีนในประเทศจำนวนมาก ส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว ทั้งนี้ การปรับคาดการณ์เงินเฟ้อดังกล่าวของธนาคารเอชเอสบีซี เมื่อเทียบกับธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) มองว่ายังอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของรัฐบาลที่ 4% โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อของอาเซียน เช่น ไทยและสิงคโปร์ที่มีตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-receives-slightly-higher-inflation-forecast-negligible-risk-hsbc-post924429.vov

เสนอให้ปรับราคาสินค้าแทนการฉวยโอกาส

ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต เปิดเผยว่า กล่าวว่า สินค้าและบริการใดที่มีต้นทุนสูงขึ้นโดยเฉพาะจากราคาน้ำมันและพลังงานที่สูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์ควรให้ปรับราคาเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงไม่ใช่ฉวยโอกาสขึ้นราคา หากไม่ให้ปรับขึ้นราคาตามต้นทุนจะทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนสินค้าได้ ส่วนสินค้าและบริการจำเป็นพื้นฐานนั้น รัฐบาลควรเข้ามาอุดหนุนหรือแทรกแซงกลไกราคาไม่ให้ราคาสูงเกินจนประชาชนไม่สามารถซื้อหาได้และเกิดความเดือดร้อนในการดำรงชีวิต

ที่มา: https://www.posttoday.com/economy/news/675536

‘เงินเฟ้อพุ่ง’ปัญหาเร่งด่วนของอาเซียน

ตอนนี้้ นอกจากจะรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19แล้ว ชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กำลังออกมาตรการต่างๆเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อพุ่ง ซึ่งเป็นผลพวงจากอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกดัชนีซีพีไอเดือนม.ค.ของอินโดนีเซีย ทะยานสูงสุดในรอบ 20 เดือน  ส่วนสิงคโปร์อัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.เพิ่มเป็น4% และมาเลเซีย เร่งควบคุมราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่ทะยานขึ้นมากจนทำให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยในเดือนธ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3.2%

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/world/986461

‘เวียดนาม’ คาดเงินเฟ้อคงอยู่ภายใต้การควบคุม ปี 65

การสัมมนา หัวข้อเรื่อง ”การตลาดและการตั้งราคา” จัดขึ้นที่กรุงฮานอย คุณ Nguyễn Bá Minh ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจและการเงิน ได้คาดการณ์ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปี 2565 จะเพิ่มขึ้นราว 2-3% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยจากข้อมูลข้างต้น เงินเฟ้อในปี 2565 จะอยู่ภายใต้การควบคุม สาเหตุจากราคาวัตถุดิบทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ยาก อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” สงครามการค้าและความขัดแย้งทางการเมืองในระดับโลก ตลอดจนกำลังซื้อในประเทศยังคงเปราะบาง ทั้งนี้ คุณ Nguyễn Đức Độ ผู้เชี่ยวชาญ ยังเห็นด้วยว่าดัชนี CPI ในปี 2565 จะคงอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว ในขณะที่เศรษฐกิจของเวียดนามคาดว่าจะเติบโตที่ 6.5% อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการควบคุมเงินเฟ้อในปี 2565 จะไม่ง่ายนัก เนื่องจากดัชนีเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงตั้งแต่ต้นปี จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1112395/inflation-forecast-to-be-under-control-in-2022.html

‘เวียดนาม’ เผยดัชนีราคาผู้บริโภคในช่วง 11 เดือนแรกของปี 64 เพิ่มขึ้น 1.84%

สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) รายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้น 1.84% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทั้งนี้เงินเฟ้อในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 0.11% จากเดือนก่อน ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้น 0.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นับว่าเป็นตัวเลขเงินเฟ้อต่ำสุดตั้งแต่ปี 2554

อย่างไรก็ตาม นาย Nguyen Bich Lam อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม กล่าวว่าทั้งราคาน้ำมัน ข้าวและอาหาร มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นสุดเทศกาลวันตรุษญวน รวมถึงมีความต้องการวัสดุก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ดัชนี CPI ปีนี้ อาจอยู่ที่ระดับ 2% ซึ่งต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 4%

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1088337/cpi-increases-by-just-184-per-cent-in-11-months.html

รัฐบาลสปป.ลาวเร่งกระตุ้นจีดีพี ลดเงินเฟ้อ

นักเศรษฐศาสตร์และสมาชิกสภานิติบัญญัติได้เรียกร้องให้รัฐบาลใช้ประโยชน์จากผลประโยชน์ที่ได้รับจากการรถไฟลาว-จีนเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากทางรถไฟได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งรัดโครงการฉีดวัคซีนและเปิดประเทศใหม่เพื่อลดผลกระทบจากการระบาดใหญ่ที่มีต่อเศรษฐกิจ ในปี 2565 รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ไว้ที่ร้อยละ 4 และอัตราเงินเฟ้อที่ร้อยละ 5-7 อย่างไรก็ตาม ประธานคณะกรรมการวางแผน การเงิน และตรวจสอบของรัฐสภา และนักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ดร.ลีเบอร์ ลีบูเปา กล่าวกับที่ประชุมรัฐสภาว่ารัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนตัวเลขเหล่านี้ “โดยหลักการแล้ว การเติบโตของ GDP จะต้องสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเพื่อสะท้อนถึงแนวโน้มเชิงบวกในการพัฒนาประเทศ หากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่า GDP ก็หมายความว่าไม่มีการเติบโต”

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt217.php

เศรษฐกิจเวียดนาม ตามแรงกดดันเงินเฟ้อ

สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) รายงานว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.88% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากกำลังซื้อที่ตกต่ำจากผลกระทบของโควิด-19 โดยทางดร. Nguyen Duc Do รองผู้อำนวยการสถาบันการเงินและเศรษฐกิจ คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 2% ราคาอาหารปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้ง เมื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างสมบูรณ์ ราคาอาหารจะปรับตัวลดลงอีกครั้ง ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ของประชาชนลดลงและเมื่อกำลังซื้อต่ำ ราคาดังกล่าวจะไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ นอกจากนี้ ดร. Pham The Anh มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่าดัชนี CPI ที่อยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่แย่จากการได้รับผลกระทบของโควิด-19

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/national-economy-under-inflationary-pressure-900562.vov

คณะกรรมการกลางสปป.ลาวมีมติดำเนินการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ หนี้สินและการว่างงาน

รายงานล่าสุดระบุว่าการว่างงานเพิ่มขึ้นหลังจากผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจที่เกิดจากการระบาดของ Covid-19 นอกจากนี้ แรงงานลาวหลายพันคนอพยพกลับบ้านจากประเทศไทยเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสในไทย ซึ่งทำให้สถานการณ์การว่างงานในประเทศลาวแย่ลง ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวคณะกรรมการกลางของพรรคปฏิวัติประชาชนลาวได้มีมติที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและหนี้สินอย่างเป็นระบบ ในขณะเดียวกันก็พยายามสร้างงานมากขึ้นเพื่อลดอัตราการว่างงานในประเทศ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้รัฐบาล คณะกรรมการพรรค และเจ้าหน้าที่ทุกระดับดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทั้งนี้ยังทบทวนความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนงบประมาณ และแผนสกุลเงิน

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Party_resolves_208.php

ส่องจังหวะการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินอาเซียน หลังจากสหรัฐฯ ส่งสัญญาณในการปรับลดขนาดมาตรการ QE

โดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)

สถานการณ์การระบาดของโควิดเริ่มมีทิศทางผ่อนคลายลงโดยเฉพาะในประเทศกลุ่มพัฒนาแล้ว ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นกลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญและเติบโตเหนือระดับก่อนโควิด ตลาดแรงงานที่เริ่มกลับสู่ระดับปกติมากขึ้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อมีสัญญาณเร่งตัวเป็นปัจจัยที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของตลาดการเงินโลกรวมทั้งตลาดการเงินของอาเซียนอีกครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มส่งสัญญาณพิจารณาถึงการปรับลดขนาดของมาตรการ QE ที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้และนำไปสู่คาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้นนโยบายสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3/2565

 

ในทำนองเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรปก็ได้ส่งสัญญาณที่จะลดขนาด QE ลงในการประชุมรอบล่าสุดที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้เป็นธนาคารกลางแรกๆ ที่เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนโยบายการเงินเดือนสิงหาคม 2564  จากหลังเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นมาสู่ระดับ 2.6% ในเดือนสิงหาคม 2564 อันเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี ตลอดจน การปรับขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนที่เป็นผลจากการระบาดของโควิดที่ส่งผลให้ระดับหนี้ครัวเรือนทะลุระดับ 100% ของจีดีพีเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ธนาคารกลางยุโรป ตลอดจน ธนาคารกลางเกาหลีใต้ อาจเป็นภาพสะท้อนถึงทิศทางของคลื่นการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินที่กำลังเข้าใกล้เศรษฐกิจอาเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าประเทศสิงคโปร์น่าจะเป็นผู้นำของเศรษฐกิจกลุ่มอาเซียน-6 ที่เริ่มปรับท่าทีการดำเนินโนยายการเงินให้เข้มงวดขึ้นผ่านการปรับความชันของอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจจะเกิดขึ้นช่วงต้นปี 2565 หลังจากที่เศรษฐกิจสิงคโปร์กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและขนาดเศรษฐกิจกลับไปสูงกว่าระดับก่อนโควิดแล้วเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอัตราเงินเฟ้อจากต่างประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนฟิลิปปินส์คงจะเป็นประเทศที่เผชิญกับแรงกดดันในการขยับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นรายต่อไป ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การไหลออกของเงินทุน ตามมาด้วยเศรษฐกิจเวียดนามที่คงมีปรับท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินหลังจากที่เศรษฐกิจกลับมาเติบโตตามระดับศักยภาพมาระยะหนึ่งแล้ว เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจตลอดจนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เวียดนามอาจถูกจัดในกลุ่มประเทศที่แทรกแซงค่าเงิน

 

ขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียคงเลือกจังหวะในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สอดคล้องกับเฟดเนื่องจากตลาดการเงินของอินโดนีเซียและมาเลเซียมีระดับของการพึ่งพิงเงินทุนต่างชาติที่ค่อนข้างสูงโดยเปรียบเทียบ โดยช่วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศกลับมาฟื้นตัวเหนือระดับก่อนโควิดไปแล้ว อย่างไรก็ดี ไทยคาดว่าจะเป็นประเทศท้ายๆ ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากโควิดมากกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน-6 อย่างมีนัยสำคัญ จึงต้องอาศัยการดำเนินโยบายการเงินผ่อนคลายที่นานกว่าประเทศอื่นๆ

ที่มา : https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/economy/Pages/QE-z3269.aspx

เงินเฟ้อพุ่งสูงสุดรอบ 11 เดือน

อัตราเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคม ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนสำนักงานสถิติลาวระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ 118.51 จุดในเดือนก.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.7% โดยมีปัจจัยในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ผันผวนถือเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของอัตราเงินเฟ้อในสปป.ลาว ความต้องการเงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ จากความต้องการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวนมาก ค่าเงินกีบยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม แม้จะมีมาตรการของรัฐบาลในการจัดการกับประเด็นนี้ อัตรากการเพิ่มขึ้นในแต่ละหมวดที่เพิ่มขึ้นเป็นดังนี้ ค่าอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 4.44 % หมวดการสื่อสารและการขนส่งเพิ่มขึ้น 0.92% ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 25.44 เปอร์เซ็นต์ หมวดร้านอาหารและโรงแรมเพิ่มขึ้น 2.19% ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 0.6% หมวดเสื้อผ้าและรองเท้าเพิ่มขึ้น 1.15% ค่าใช้จ่ายของใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้น 0.44%

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Inflation_165.php