ประชาชนเข้าใช้บริการรถไฟข้ามแดนระหว่าง สปป.ลาว-จีน เพิ่มขึ้น

เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการท่องเที่ยวของ สปป.ลาว กล่าวว่า มีผู้คนมากกว่า 4,300 คน เดินทางข้ามพรหมแดนโดยใช้รถไฟสาย สปป.ลาว-จีน บนเส้นทางระหว่างเวียงจันทน์และคุนหมิง ในช่วงระหว่างวันที่ 13-23 เม.ย.

โดยในจำนวนดังกล่าวคิดเป็นชาวจีนจำนวน 2,086 คน เดินทางไปยัง สปป.ลาว ซึ่งรถไฟสายดังกล่าวให้บริการเส้นทางข้ามพรหมแดนระยะทางรวมกว่า 1,035 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยผู้โดยสารที่เดินทางจาก สปป.ลาว ไปยังจีนต้องได้รับวีซ่าจีนก่อนออกเดินทาง สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยหนังสือเดินทางราชการไม่จำเป็นต้องได้รับวีซ่า แต่ต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงที่ตนสังกัด ซึ่งเส้นทางดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางผ่านแดน และคาดว่าจะช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าต่อไปในอนาคต ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ สปป.ลาว ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 831,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากไทย เวียดนาม จีน และเกาหลีใต้

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten87_More_y23.php

บริษัทสัญชาติจีน เซ็นสัญญาพัฒนาท่าเรือ กัมปอต ในกัมพูชา

บริษัท China Harbour Engineering (CHEC) ได้รับสัญญาก่อสร้างท่าเรืออเนกประสงค์กัมปอต ในจังหวัดกัมปอต หลังจากจัดเตรียมพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานในการก่อสร้างเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่ง CHEC ได้ลงนามในสัญญาร่วมกับ Kampot Logistics and Port Company Limited (KLP) ไปเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยมี Sun Chanthol รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง ร่วมกับตัวแทนของบริษัท ตามรายงานของกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง คาดว่าการก่อสร้างท่าเรือดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 เฟส ด้วยเม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งในเฟสแรกคาดว่าจะมีการลงทุนประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะช่วยให้ท่าเรือกำปอตสามารถรองรับปริมาณตู้คอนเนอร์ได้ที่ 300,000 TEU ภายในปี 2025 และจะเพิ่มเป็น 600,000 TEU ภายในปี 2030 โดยในโครงการจะประกอบด้วยพื้นที่จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ เขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตการค้าเสรี ศูนย์โลจิสติกส์ คลังสินค้าศุลกากร โรงงานผลิตและกระจายสินค้า เป็นสำคัญ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501285979/chinese-firm-bags-kampot-port-construction-contract/

“รมต.ต่างประเทศจีน” เยือนชายแดนเมียนมา

นายฉิน กัง (Qin Gang) รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน เรียกร้องให้มีความมั่งคงและการปราบปรามอาชญากรรมบริเวณพรมแดนของประเทศที่ติดกับประเทศเมียนมา โดยพรมแดนเมียนมาที่ติดกับประเทศจีนมีระยะทาง 2,129 กิโลเมตร มีภูเขาที่มีป่าไม้หนาทึบและมีชื่อเสียงในการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสู่ประเทศจีน ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ ระบุว่าการผลิตฝิ่นในเมียนมากลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง หลังจากกองทัพเข้ายึดอำนาจรัฐบาลในปี 2564 การเพาะปลูกฝิ่นป๊อบปี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาลงและปัญหาอาชญากรรมที่ไม่เข็มงวด ทำให้ผู้คนหันมาซื้อยาเสพติดกันสูงขึ้น

อีกทั้ง รัฐมนตรีฯ ต่างประเทศของจีน กล่าวระหว่างการเยือนเมียนมาว่าพรรคคอมมิวนิสต์ท้องถิ่น หน่วยงานรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเข้าร่วมระบบเสริมสร้างป้องกันชายแดนและจำเป็นต้องมีการประสานงานการจัดการชายแดน เพื่อที่จะพัฒนาการค้าชายแดนและความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ

ที่มา : https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4880184

ศูนย์อาเซียน-จีน เตรียมจัดนิทรรศการใหญ่ กัมพูชาหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ศูนย์อาเซียน-จีน (ACC) เตรียมการร่วมมือกับกัมพูชา ในการจัดนิทรรศการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ทั้งในกัมพูชาและจีน กล่าวโดย Shi Zhongjun เลขาธิการ ACC ซึ่งคาดว่างานดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาค รวมถึงกัมพูชาที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในเชิงบวก โดยกัมพูชาตกลงร่วมมือกับ ACC เพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และการเปิดพรมแดนของจีน ขณะเดียวกันทางการกัมพูชาวิงวอนให้ทางการจีนผลักดันให้มีเที่ยวบินตรงระหว่างกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนเดินทางมาเยือนกัมพูชามากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกัมพูชาคาดว่าจะให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 4 ล้านคน คิดเป็นนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 1 ล้านคนในปีนี้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501278044/asean-china-center-plans-cambodia-exhibitions-to-attract-tourists/

คาดการค้าทวิภาคี กัมพูชา-กว่างซี ขยายตัว

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและมณฑลกว่างซีของจีนมีมูลค่ารวมแตะ 1.970 พันล้านหยวน ในปี 2022 เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 88.2 เมื่อเทียบกับปี 2021 รายงานโดยกระทรวงพาณิชย์กว่างซี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นการส่งออกของกว่างซีไปยังกัมพูชาที่ 1.860 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 88.5 ในขณะที่กัมพูชาส่งออกไปยังกว่างซีมูลค่ารวม 110 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 85.3 ผ่านการที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันในด้านต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร การค้า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการปกป้องสิ่งแวดล้อม

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501277602/uptrend-in-cambodia-guangxi-bilateral-trade/

“กองกำลังว้า” ระงับการทำเหมือง เดือน ส.ค. ราคาดีบุกพุ่ง

กองทัพรวมแห่งรัฐว้า (UWSA) กองกำลังชนกลุ่มน้อยในเมียนมา ประกาศจะระงับการทำงานเหมืองในพื้นที่ภายใต้การควบคุมของกองกำลัง ตั้งแต่เดือน ส.ค. แร่บุกของเมียนมาส่วนใหญ่มาจากเหมืองในพื้นที่รัฐว้า และจากเหตุการณ์ในข้างต้นส่งผลให้ราคาดีบุกพุ่งสูงขึ้น 12% ในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ที่สุดในโลก และราคาดีบุกดังกล่าวอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนหลังจากทราบข่าวระงับเหมือง โดยตลาดเมียนมามีสัดส่วน 77% ของการนำเข้าดีบุกของประเทศจีนในปี 2565 ทั้งนี้ รัฐว้าถือเป็นแหล่งผลิตดีบุกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมียนมาและผลผลิตส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังประเทศจีน การระงับการทำเหมืองในครั้งนี้จะทำให้ผลผลิตของเหมืองดีบุกอยู่ในสถานการณ์ที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์ยังไม่ชัดเจนว่าจะระงับการทำเหมืองหรือไม่ เนื่องจากไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการแจ้งเตือนและหน่วยงานหลักของรัฐว้าไม่ได้รับการแจ้งเตือน

ที่มา : https://www.reuters.com/article/tin-myanmar/myanmars-wa-militia-to-suspend-mining-in-its-zone-from-aug-tin-prices-jump-idUSKBN2WE0KH

IMF คาดเศรษฐกิจ สปป.ลาว ปีนี้โตเฉลี่ยร้อยละ 4

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ สปป.ลาว จะเติบโตร้อยละ 4 ในปีนี้ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังอยู่บนความไม่แน่นอน แต่ถึงอย่างไรในรายงานของ IMF ช่วงเดือนเมษายน ได้ระบุว่าการยกเลิกข้อจำกัดด้านการเดินทางและการเปิดประเทศอีกครั้งของจีน จะส่งผลทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาครวมถึง สปป.ลาว กลับมาขยายตัว โดยหนึ่งในความท้าทายหลักสำหรับ สปป.ลาว ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าคือการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากต้นทุนสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันที่กำลังสร้างผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่ง IMF คาดการณ์ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคใน สปป.ลาว จะขึ้นไปแตะที่เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 15.1 ในปีนี้ ถือเป็นอัตราสูงสุดที่คาดการณ์ไว้สำหรับประเทศในกลุ่มเอเชียเกิดใหม่

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten2023_Laoeconomy73.php

โฆษกรัฐบาลกัมพูชาคาดภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวหลังจีนเปิดประเทศ

Phay Siphan โฆษกรัฐบาลกัมพูชา กล่าวว่า การปรับกลยุทธ์ป้องกันโควิด-19 ของจีน จะเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมภาคการท่องเที่ยวทั้งในประเทศต่างๆ ด้วยจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 1.4 พันล้านคน สำหรับภาคการท่องเที่ยวของกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักทางเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยนักท่องเที่ยวจีนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในช่วงเกิดการแพร่ระบาด ซึ่งรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวได้ระบุไว้ว่าในช่วงปี 2019 กัมพูชาให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 2.36 ล้านคน หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ 35.7 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาในประเทศ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าประเทศประมาณ 1.8 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่ปัจจุบันประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 4 ล้านคน คิดเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนอยู่ที่ระหว่าง 800,000 ถึง 1 ล้านคน ภายในปี 2023 ตามการคาดการณ์ของกระทรวงการท่องเที่ยว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501270323/cambodian-government-spokesman-says-chinas-reopening-revives-intl-tourism-market/

สมาคมชาวจีนตั้งเป้าลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกัมพูชา

สมาคม Global Alliance of SMEs ของจีน กำลังมองหาโอกาสการลงทุนภายในกัมพูชา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กล่าวโดย Cao Fang เลขาธิการ Global Alliance of SMEs ในระหว่างการประชุมกับ Thong Khon รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ณ กรุงพนมเปญ ซึ่งสมาคมมีเป้าหมายที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับจีนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างกัน ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวได้เน้นย้ำถึงความพร้อมและสิ่งที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากต่างประเทศ โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2023 กัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.2 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 120,000 คน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501269103/chinese-association-looks-into-cambodias-tourism-investment/

จีนผุดโรงงานรถอีวีในอีอีซี กลุ่ม GAC AION พร้อมทุ่มลงทุนบะละฮึ่ม

คณะผู้บริหาร GAC AION นำโดยนายเสี่ยว หยง (Mr.Xiao Yong) รองประธาน GAC AION ได้นำเสนอภาพรวมสถานการณ์การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศจีน ที่มีการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งการแนะนำถึงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของ GAC AION ที่ปัจจุบันมียอดขายเติบโตเป็น 1 ใน 3 อันดับของผู้ผลิต EV ในจีนและภาพรวมการลงทุนอื่นๆ ด้านนวัตกรรมอัจฉริยะ ระบบ Ai ระบบ Automation การพัฒนาด้านพลังงานสะอาดอย่างครบวงจร โดยเลขาธิการอีอีซีได้รับมอบหนังสือจากคณะ GAC AION ที่สนใจจะขยายฐานการลงทุนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์อีวี มูลค่าการลงทุนขั้นต่ำ 6,400 ล้านบาท และส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง อาทิ การลงทุนโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในพื้นที่อีอีซี เป็นต้น ที่กำลังพิจารณาพื้นที่ก่อสร้างโรงงานรวมกว่า 1,000 ไร่ โดยอีอีซีและ GAC AION จะประสานความร่วมมือเพื่อขยายโอกาสการเข้าลงทุนของอุตสาหกรรมอีวีอย่างครบวงจร โดยเฉพาะการเตรียมการด้านสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ การพัฒนาทักษะบุคลากรรองรับเพื่อต่อยอดให้พื้นที่อีอีซีก้าวสู่ศูนย์กลางการผลิตอีวีแห่งภูมิภาคต่อไป ด้านนายจุฬา เลขาธิการอีอีซี กล่าวว่า การที่ GAC AION ตัดสินใจลงทุนในไทย อีอีซีจะช่วยส่งเสริมพื้นที่การลงทุน การสร้างงานพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน รวมถึงกฎระเบียบที่จะช่วยสนับสนุนด้านการลงทุน ไทยเป็นตลาดรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีแนวโน้มในการเจริญเติบโตดีที่สุดและรัฐบาลไทยได้ออกนโยบายสนับสนุนการผลิตและการขายรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย

ที่มา : https://www.thairath.co.th/business/investment/2674061