IMF ระบุว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะเติบโต 5.8% ในปี 2025

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาจะเติบโตร้อยละ 5.8 ในปี 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากภาคส่วนหลัก เช่น การท่องเที่ยวและการส่งออกเสื้อผ้า รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ตามรายงานเศรษฐกิจของกัมพูชามีการฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้จะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตจากร้อยละ 5.5 ในปี 2024 เป็นร้อยละ 5.8 ในปี 2025 อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.5 ในปี 2024 เป็นร้อยละ 2 ในปี 2025 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่จัดการได้ ในขณะเดียวกัน IMF ยังระบุว่าเศรษฐกิจกัมพูชาอาจมีความเปราะบางเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนโยบายของคู่ค้าหลัก และความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนจากต่างชาติ อย่างไรก็ตาม IMF ได้ให้คำแนะนำหลายประการเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจกัมพูชาดำเนินต่อไปได้ รวมถึงการปฏิรูปนโยบายการคลัง การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีและการยกเว้นภาษี โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย และการเสริมสร้างการจัดการการลงทุนภาครัฐให้เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างความยืดหยุ่น และรักษาเสถียรภาพของหนี้สาธารณะ เป็นต้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501633100/imf-says-cambodias-economy-will-grow-by-5-8-in-2025/

รัฐบาลกัมพูชาพร้อมส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตรสู่ระดับสากล

Keo Buntheng ผู้ช่วยทางการพาณิชย์ประจำสาธารณรัฐตุรกี เข้าพบกับผู้นำเข้าจากต่างประเทศหลายราย เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผลิตภัณฑ์กัมพูชาและสำรวจโอกาสในการขยายตลาดของกัมพูชาไปยังทั่วโลก โดยได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอาหารและเครื่องดื่ม ครั้งที่ 31 ณ ศูนย์แสดงสินค้า Antalya Expo Center ในเมืองอันตัลยา ประเทศตุรกี ระหว่างวันที่ 28 ถึง 31 มกราคม ซึ่งทางการกัมพูชามุ่งเน้นไปที่สินค้ากลุ่มเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ข้าว พริกไทย ผลไม้แห้ง และถั่วต่างๆ ตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ (MoC) งานดังกล่าวดึงดูดผู้จัดแสดงประมาณ 300 ราย จาก 70 จังหวัดทั่วตุรกี และอีก 50 ประเทศ รวมถึงมีผู้เยี่ยมชมทั้งหมดประมาณ 20,000 คน ภายในงาน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501633489/cambodian-official-promotes-agricultural-products-to-intl-importers/

การประชุม NBC-UN ทบทวนสถานะการเงินรายย่อยในกัมพูชา

Chea Serey ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) และ Jo Scheuer ผู้ประสานงานสหประชาชาติ (UN) ประจำกัมพูชา ได้ร่วมเป็นประธานในการประชุมระดับสูงครั้งที่สองของ NBC-UN เกี่ยวกับการเงินรายย่อยในกัมพูชา ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ โดยการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความคืบหน้าของการดำเนินการตามลำดับความสำคัญที่ได้มีการหารือกันในการประชุมระดับสูงครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2024 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง, กระทรวงการจัดการที่ดิน และกระทรวงการวางแผน นอกจากนี้ยังมีสถาบันการเงินรายย่อย (MFIs) และธนาคาร, พันธมิตรด้านการพัฒนา เช่น IFC, AFD และ ILO ด้าน Serey กล่าวว่า การประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการให้กู้ยืมในพื้นที่ชนบท เช่น ปัญหาหนี้เสียและการยึดทรัพย์ที่ไม่เป็นมืออาชีพ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาเหล่านี้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501629716/nbc-un-meeting-takes-stock-of-microfinance-in-cambodia/

กัมพูชาและสหรัฐฯ ผลักดันความสัมพันธ์ทางการค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

กัมพูชาและสหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น ด้าน Prak Sokhonn รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนทวิภาคีที่สำคัญที่สุดของกัมพูชา สำหรับการค้าทวิภาคีในปี 2024 เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 11 คิดเป็น 1.018 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยกัมพูชาเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ รายงานผ่านข้อมูลจากกรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา ที่เผยแพร่ในช่วงเดือน ม.ค. แบ่งเป็นกัมพูชาส่งออกมูลค่า 9.9 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 จากปีก่อนหน้า ตามมาด้วยเวียดนาม 3.6 พันล้านดอลลาร์, จีน 1.7 พันล้านดอลลาร์, ญี่ปุ่น 1.4 พันล้านดอลลาร์, แคนาดา 1.1 พันล้านดอลลาร์ และสเปน 1 พันล้านดอลลาร์ สำหรับสินค้าส่งออกหลักของกัมพูชาไปยังสหรัฐฯ ของกัมพูชา ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร, จักรยาน, ผลิตภัณฑ์สำหรับการเดินทาง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนสินค้านำเข้าหลักของกัมพูชา ได้แก่ เครื่องจักรและผลิตภัณฑ์ยาจากสหรัฐฯ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501629740/cambodia-us-push-for-closer-trade-ties/

FTA ระดับภูมิภาค-ทวิภาคี ช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจกัมพูชา

เจ้าหน้าที่การค้าระดับสูงของกัมพูชาเปิดเผยว่า ความตกลงการค้าเสรี (FTAs) ทั้งระดับภูมิภาคและทวิภาคีมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการกระจายตลาด และช่วยผลักดันการเติบโตและพัฒนาการของกัมพูชา โดยกัมพูชาเป็นสมาชิกของความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN FTA), ความตกลงอาเซียนบวกหนึ่งกับประเทศคู่เจรจา และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) นอกจากนี้ กัมพูชายังมีความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับจีน เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย ปัจจุบันกัมพูชามีแผนเจรจากับพันธมิตรอื่นๆ เพื่อขยายการเข้าถึงตลาดใหม่สำหรับสินค้าของตน เศรษฐกิจกัมพูชาในปี 2024 เติบโตขึ้นร้อยละ 6 และคาดว่าจะเติบโตถึงร้อยละ 6.3 ในปี 2025 ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวจะช่วยให้กัมพูชาสามารถหลุดพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ได้ภายในปี 2029 และบรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2050

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501628135/regional-bilateral-ftas-help-foster-cambodias-growth-and-development-says-commerce-official/#google_vignette

กัมพูชาต้อนรับผู้โดยสารผ่านเครื่องบินกว่า 6.24 ล้านคนในปี 2024 เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 22

ในปี 2024 กัมพูชาต้อนรับผู้โดยสารทางอากาศรวมกว่า 6.24 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้าน Sinn Chanserey Vutha รัฐมนตรีช่วยว่าการสำนักเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐ เปิดเผยว่า สายการบินทั้งในและต่างประเทศได้ดำเนินเที่ยวบินทั้งหมด 58,354 เที่ยวบิน ไปยัง 3 สนามบินนานาชาติของกัมพูชา ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศยังเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 หรือคิดเป็นปริมาณรวม 77,752 ตัน ในปีที่ผ่านมา โดยยังเสริมเกี่ยวกับความมั่นใจว่าสนามบินนานาชาติเสียมราฐ-อังกอร์ ซึ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2023 และได้รับการลงทุนจากจีน จะช่วยดึงดูดสายการบินและผู้โดยสารต่างชาติเพิ่มมากขึ้นให้มาเยือนกัมพูชา โดยเฉพาะการบินตรงไปยังจังหวัดเสียมราฐ ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานโบราณคดีอังกอร์ที่ขึ้นทะเบียนโดย UNESCO สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาว 3,600 เมตร และเป็นสนามบินระดับ 4E ที่สามารถรองรับการลงจอดของเครื่องบินเกือบทุกประเภทจากทั่วโลกได้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501628140/in-2024-cambodia-welcomed-an-impressive-6-24-million-air-passengers/

2024 กัมพูชานำเข้าน้ำมันและก๊าซมูลค่ารวมกว่า 2.69 พันล้านดอลลาร์

รายงานจากกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาเปิดเผยว่า ในปี 2024 กัมพูชานำเข้าน้ำมันดีเซล น้ำมันปิโตรเลียม และก๊าซ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่ารวม 2.69 พันล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นการนำเข้าน้ำมันดีเซลมูลค่ารวม 1.41 พันล้านดอลลาร์ น้ำมันปิโตรเลียม 946 ล้านดอลลาร์ และก๊าซปิโตรเลียม 334 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7, 11 และ 42 ตามลำดับ ซึ่งกัมพูชายังคงพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซทั้งหมด เนื่องจากยังไม่ได้เริ่มการสำรวจและผลิตน้ำมันจากแหล่งสำรองใต้ทะเลของประเทศ โดยคาดว่าความต้องการในการอุปโภคผลิตภัณฑ์น้ำมันของกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.8 ล้านตันในปี 2030 จาก 2.8 ล้านตันในปี 2020 นอกจากนี้ กัมพูชายังนำเข้ายานพาหนะทุกประเภทมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 จากปีก่อนหน้า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501627507/cambodia-spents-2-69-bln-on-oil-gas-imports-in-2024/

กัมพูชาส่งออกสินค้ากลุ่ม GFT เกือบ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2024

กระทรวงพาณิชย์กัมพูชารายงานว่าในปี 2024 กัมพูชาสามารถส่งออกเสื้อผ้า สิ่งทอ รองเท้า และอุปกรณ์เดินทาง มูลค่ารวม 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากปีก่อน โดยแบ่งเป็นการส่งออกเสื้อผ้ามูลค่า 9.79 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 สินค้ากลุ่มสิ่งทอมูลค่า 499 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 สินค้ากลุ่มรองเท้ามูลค่า 1.68 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 และอุปกรณ์เพื่อการเดินทางมูลค่า 1.95 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 ด้าน Hoe EeKhor หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ AMRO ระบุว่า อุตสาหกรรมเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์เดินทางยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกัมพูชา โดยการเติบโตในปี 2024 มาจากความต้องการสินค้าบริโภคที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลักของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มดังกล่าวรวมประมาณ 1,538 แห่ง และก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 913,000 คน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501627508/cambodias-exports-of-garments-textiles-shoes-travel-goods-hit-nearly-14-bln-in-2024/

SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจ CLMV ปี 2568 จะเติบโตชะลอลงเล็กน้อยตามเศรษฐกิจโลกที่แผ่วลง แต่อุปสงค์ในประเทศช่วยบรรเทาผลกระทบได้บ้าง

เศรษฐกิจ CLMV ปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงเล็กน้อย

SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจ CLMV ปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงเล็กน้อยตามเศรษฐกิจโลกที่จะแผ่วลง จากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของนโยบาย Trump 2.0 เช่น ผลจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ สินค้าจีนราคาถูกเข้ามาตีตลาดในประเทศมากขึ้นทดแทนตลาดสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยนโยบายประเทศเศรษฐกิจหลักปรับลดน้อยกว่าที่เคยคาดไว้จากแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์ที่เร่งตัว อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในประเทศ CLMV มีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการจ้างงาน ช่วยบรรเทาผลกระทบจากอุปสงค์ต่างประเทศชะลอตัวได้บ้าง นอกจากนี้ เศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนที่เติบโตดีจะช่วยสนับสนุนภาคท่องเที่ยวของเศรษฐกิจ CLMV ให้ขยายตัวต่อเนื่องได้ รวมถึงเศรษฐกิจ CLMV จะได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติเพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และหลีกเลี่ยงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่อาจปรับสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการส่งออกในระยะต่อไป ในปี 2568 SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัว 6.0% (ทรงตัวจากปี 2567) สปป.ลาว 4.3% (ลดลงจาก 4.5% ในปี 2567) เมียนมา 2.2% (ลดลงจาก 2.3% ในปี 2567) และเวียดนาม 6.5% (ลดลงจาก 6.8% ในปี 2567)

ปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศใน CLMV มีความสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ

เวียดนามมีแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากได้ประโยชน์จากกระแสการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน ด้วยห่วงโซ่อุปทานในประเทศที่มีความพร้อม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงระยะทางการขนส่งไปตลาดจีนที่สั้น ตลาดในประเทศที่เติบโตดี และความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและสนธิสัญญาการค้าเสรีต่าง ๆ กัมพูชาจะเติบโตดีรองลงมา จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ช่วยสนับสนุนตลาดแรงงานในประเทศ และเสถียรภาพการคลังที่ยังมั่นคงสามารถใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอลงจะเป็นปัจจัยกดดันเพราะกัมพูชาพึ่งพาจีนสูงในหลายด้าน สปป.ลาวยังเปราะบางสูง แม้จะได้อานิสงส์จากอุปสงค์ในภูมิภาคอาเซียน แต่เสถียรภาพด้านการคลังและเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังเปราะบางมาก ท่ามกลางค่าเงินกีบอ่อน เงินเฟ้อสูง ทุนสำรองระหว่างประเทศต่ำ และต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นหลังถูกจัดอันดับเครดิตที่ระดับ Speculative ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันศักยภาพเศรษฐกิจต่อไป เมียนมาขยายตัวต่ำต่อเนื่อง ผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจซบเซาท่ามกลางเหตุการณ์รุนแรงที่ยังไม่คลี่คลาย ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกมีส่วนทำให้อุปสงค์ต่างประเทศอ่อนแอลงมาก ประกอบกับปัญหาอื่น ๆ เช่น เงินจัตอ่อนค่า เงินเฟ้อเร่งตัว และการขาดแคลนปัจจัยการผลิตจากเส้นทางการขนส่งและการค้าหยุดชะงัก

เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV อาจเผชิญกับความเสี่ยงในหลายด้าน

เศรษฐกิจ CLMV จะต้องเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำหลายด้าน ทั้งจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจมีการกีดกันการค้าประเทศวงกว้างกว่าที่ Trump หาเสียงไว้ โดยเฉพาะเวียดนามที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจแข็งขึ้นจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยปลายทาง (Terminal rate) ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่จะสูงกว่าคาดการณ์เดิม กดดันให้ค่าเงินกลุ่มประเทศ CLMV เผชิญแรงกดดันอ่อนค่ามากขึ้น ส่งผลทำให้เงินเฟ้อลดลงช้า และหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นในบางประเทศที่พึ่งพาการกู้จากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน มูลค่าหนี้เสียที่ยังอยู่ในระดับสูงในบางประเทศอาจกดดันการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์และเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการเงินในประเทศ รวมทั้งกดดันการลงทุนภายในประเทศ สุดท้ายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนับว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา เนื่องจากจะกระทบต่อผลผลิตการเกษตรและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ซึ่ง CLMV จัดว่าเป็นภูมิภาคที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลำดับต้น ๆ ของโลก

อ่านต่อได้ที่ : https://www.scbeic.com/th/detail/product/clmv-outlook-dec24

กัมพูชาเร่งผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ

กัมพูชาเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้พลังงานสะอาดเป็นทางเลือกด้านการลงทุนที่ดี โดยปัจจุบันพลังงานสะอาดคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 62 ของกำลังการผลิตพลังงานทั้งหมดของกัมพูชา ซึ่งทางการยังคงผลักดันให้มีการใช้พลังงานสะอาดในโครงข่ายมากขึ้น กล่าวโดย Keo Rattanak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงาน สำหรับการผลักดันนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงาน (PDP) ประจำปี 2022-2040 ของกัมพูชา โดยให้ความสำคัญกับการขยายแหล่งพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ซึ่งปัจจุบันกัมพูชาสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 4,000 เมกะวัตต์ต่อปี แต่การบริโภคต่อปีอยู่ที่ประมาณ 2,400 เมกะวัตต์เท่านั้น ดังนั้น กัมพูชาจึงกำลังพิจารณาส่งออกพลังงานไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคในอนาคต ตามที่กระทรวงฯ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501515050/cambodia-steps-up-renewable-energy-push/