เวียดนามเผยครึ่งแรกของปี 63 ผลผลิตประมงสูงถึง 3.86 ล้านตัน

กรมประมง เปิดเผยว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ผลผลิตประมงของเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยปริมาณ 3.86 ล้านตัน ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับการระบาดของไวรัส COVID-19 ในทิศทางเชิงลบต่อการผลิตและการส่งออก ข้อมูลข้างต้นนั้นได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 ก.ค. โดยทำการตรวจสอบกิจกรรมทางการประมงและดำเนินงานที่สำคัญหลายด้านในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทั้งนี้ ผลผลิตที่ได้จากการใช้ประโยชน์จากแหล่งประมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ด้วยปริมาณ 1.88 ล้านตัน ในขณะที่ ผลผลิตการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ด้วยปริมาณ 1.97 ล้านตัน นอกจากนี้ กรมประมงจะทำการตรวจสอบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดและจะแจ้งข้อมูลทางด้านทรัพยากรน้ำ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์จากแหล่งประมงอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/fisheries-output-reaches-386-million-tonnes-in-first-half-416124.vov

การเติบโตของเมียนมาที่ลดลงกว่าที่คาดไว้ในในปีนี้

เศรษฐกิจเมียนมามีแนวโน้มขยายตัวเพียง 4.3% ในปีงบประมาณ 2562-2563 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของรัฐบาลที่ 7 ผลมาจากการระบาดของ COVID-19 การขยายตัวทางเศรษฐกิจชดเชยการเติบโตของจีดีพีที่ 6% ในช่วงหกเดือนแรกของปีงบประมาณซึ่งส่งผลให้ผลผลิตรวมมีเพียง 74.5 ล้านล้านจัตระหว่างตุลาคม 2562 ถึงมีนาคม 2563 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 63% จากเดิมที่ 119 ล้านล้านจัตในช่วงเวลาดังกล่าว ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นาย U Set Aung รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนกระทรวงการคลังและอุตสาหกรรมรายงานจากกองทุนของรัฐและเงินกู้ระหว่างประเทศจำนวน 2.8 ล้านล้านจัตถูกนำไปใช้ในการดำเนินการตามแผนบรรเทาเศรษฐกิจ COVID-19 ในปีงบประมาณ 2562-2563 เงินทุนดังกล่าวถูกนำไปใช้ในการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ปรับปรุงระบบการดูแลสุขภาพ เงินสดและอาหารให้กับครัวเรือนที่ยากจนและสนับสนุนภาคเกษตรและปศุสัตว์

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/steeper-growth-decline-expected-myanmar-year-govt.html

รัฐบาลคาดว่าเงินจัตเสื่อมค่าจากอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้นในเมียนมา

คาดเงินจัตของเมียนมาจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2563-2564 นายหม่องหม่องวินรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและอุตสาหกรรมกล่าวในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (Pyithu Hluttaw) ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเนื่องจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยการขาดดุลงบประมาณและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะเฉลี่ยร้อยละ 7.9 ในปีงบประมาณ 2563-2564 เทียบกับ 6.7% ในปีงบประมาณ 2562-2563 วันที่ 24 มิถุนายน 2563 อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงของธนาคารกลางคือ 1,391.4 จัตต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตามได้รับการปรับลดมาอยู่ที่ 1,520 จัตต่อดอลลาร์สำหรับหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรสำหรับปีถัดไป จากผลกระทบจาก COVID-19 ดังนั้นรายได้ของรัฐบาลคาดว่าจะลดลงเนื่องจากรายได้จากภาษีที่ลดลงและรายได้จากการส่งออกที่สำคัญ เช่น น้ำมันและก๊าซ การขาดดุลทางการคลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.8 ล้านล้านจัตในปีงบประมาณที่จะมาถึงเมื่อเทียบกับ 6.7 ล้านล้านจัตในปีงบประมาณ 2562-2563 ซึ่งขาดดุลต่อ GDP จะอยู่อยู่ที่ 5.4% ของปีหน้า

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/govt-expects-kyat-depreciation-higher-exchange-rate-myanmar.html

เศรษฐกิจภาพรวมของกัมพูชาซบเซาในช่วงครึ่งปีแรก

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) กล่าวว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาซบเซาในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 เนื่องจากผลกระทบของการระบาด COVID-19 โดยคาดการณ์ว่า GDP ของประเทศจะหดตัวมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.9 ในปีนี้ ซึ่งผู้ว่าการ NBC กล่าวว่าเสาหลักของเศรษฐกิจกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว หรือภาคการผลิตภายในประเทศได้รับผลกระทบอยู่บ้างบางส่วน อย่างไรก็ตามภาคเกษตรกลับเติบโตเล็กน้อยใน ขณะที่ภาคการเงินก็ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ในทิศทางที่มีกำไร ซึ่งในรายงานครึ่งปีแรกของปี 2020 ที่เผยแพร่โดย NBC กล่าวว่าภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยภาคการผลิตหดตัวร้อยละ 11 เมื่อเทียบปีต่อปีเนื่องจากการหยุดชะงักของอุปทานด้านวัตถุดิบขั้นพื้นฐานที่เข้มงวดขึ้น อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออกลดลงร้อยละ 12.5 ​​และเสื้อผ้าสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 10 แต่การผลิตสำหรับตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลผลิตภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21.7 เมื่อเทียบเป็นรายปีเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกที่ขยายตัวและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ลดลง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50744787/cambodias-economy-stagnant-in-first-half/

ธนาคารโลกและพันธมิตรมอบเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แก่สปป.ลาวในการควบคุม COVID-19

กระทรวงสาธารณสุขธนาคารโลกและสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย เยอรมนีและญี่ปุ่นมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผ่านศูนย์อำนวยการฉุกเฉินโรคระบาด (PEF) เพื่อสนับสนุนการตอบสนองของลาวต่อ COVID-19 ดร. Bounkong Syhavong รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า “รัฐบาลสปป.ลาวกำลังใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อจัดการกับการระบาดของ COVID-19 การสนับสนุนจากพันธมิตรจะช่วยให้สปป.ลาวผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้อย่างดี” เงินช่วยเหลือจะถูกส่งตรงไปยังองค์การยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองจาก PEF โดยเงินทุนร้อยละ 80 จากกองทุนเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ซึ่งจะดำเนินการจัดหาเงินทุนและการส่งมอบวัคซีนเพื่อให้แน่ใจว่าบริการด้านสุขภาพที่จำเป็นจะดำเนินต่อไป อีกร้อยละ 20 จะไปที่องค์การอนามัยโลกโดยตรงเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรด้านสุขภาพของสปป.ลาวในการตอบสนอง COVID-19

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Worldbank135.php

ครม.เห็นชอบแถลงการณ์ร่วม รมต.อาเซียน-จีนเสริมสร้างการขนส่งสู้โควิด-กระตุ้นศก.

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ว่าด้วยการเสริมสร้างการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ราบรื่นเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 และการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้ รมว.คมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโควิด-19 ด้วยระบบการประชุมทางไกล ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 16 ก.ค.นี้ แถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวแสดงออกถึงความมุ่งมั่นระหว่างอาเซียนและจีนในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก การเดินทางและการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการผลิต การค้าปลีก การคมนาคม และการบริการด้านอื่นๆ รวมทั้งห่วงโซ่อุปทานและตลาดการเงินหยุดชะงัก สาระสำคัญ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ไม่ให้เกิดอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้าที่จำเป็นข้ามพรมแดน รวมถึงอาหาร ยาและเวชภัณฑ์สำคัญ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และสินค้าและบริการอื่นๆ อำนวยความสะดวกในการเข้า ออก และผ่าน ของวัสดุและสินค้า ให้ความสำคัญต่อการเดินเรืออย่างปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสข้ามพรมแดน และลดความเสี่ยงของกลุ่มที่นำเชื้อโรคเข้าประเทศ รวมทั้ง อาเซียนและจีน จะอำนวยความสะดวกในการเตรียมการเดินทางโดยค่อย ๆ ลดข้อจำกัดด้านการเดินทางแต่ยังคงเคารพซึ่งการป้องกันสุขภาพ โดยอาเซียนและจีนเห็นพ้องถึงความสำคัญที่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/news/2020-b451b842b5809ae67c3bef48c86fe410

สปป.ลาว-เวียดนามร่วมมือเพื่อช่วยธุรกิจในสปป.ลาว

สปป.ลาวและเวียดนามได้รับอนุญาตให้เริ่มต้นเส้นทางการบินใหม่ระหว่างประเทศในขณะเดียวกันได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศเวียดนามเหงียนบาหังเป็นประธานการสัมมนาชุมชนธุรกิจชาวเวียดนามที่อยู่ในลาวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม โดยมีจุดประสงค์ในการหารือแนวทางแก้ปัญหาอุปสรรคที่ธุรกิจเผชิญจากการระบาดของโรค COVID-19 ในที่ประชุมยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน การแบ่งปันข้อมูลที่หลากหลายและประสบการณ์โดยละเอียดในหมู่ชุมชนธุรกิจในช่วงเวลานี้ นอกจากนี้ธุรกิจต้องเริ่มปลี่ยนวิธีการจัดการกิจกรรมทางธุรกิจโดยใช้ประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 รวมถึงตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต สำหรับระยะกลางและระยะยาวที่สปป.ลาวจะมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งตามทางเดินเหนือ – ใต้และตะวันออก – ตะวันตกเสร็จสิน เพื่อเชื่อมต่อจีน สปป.ลาว เวียดนามและไทยจะเปิดโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ มากมายซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นวางรากฐานที่แข็งแกร่งของภาคธุรกิจ เพื่อความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจในอนาคต

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/mutual-support-needed-to-help-vietnamese-firms-in-laos-remove-hurdles-416010.vov

นักลงทุนชาวเวียดนามในสปป.ลาวหารือถึงมาตรการรับมือกับ COVID-19

เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศเวียดนามกล่าวในการประชุมร่วมกับสมาคมธุรกิจเวียดนามเพื่อความร่วมมือและการลงทุนในประเทศสปป.ลาว (BACI) เมื่อวันอาทิตย์ที่เวียงจันทน์ เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ซึ่งเศรษฐกิจสปป.ลาวชะลอตัวลงด้วยความเสี่ยงของการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะอันเนื่องมาจากผลกระทบของไวรัส อีกทั้งรัฐบาลสปป.ลาวได้ใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อกระตุ้นการลงทุนการผลิตและธุรกิจเพื่อสนับสนุน บริษัทต่างๆ ประเทศกำลังเร่งปฏิรูปและการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างประเทศธุรกิจการเงินและการธนาคาร นอกจากนี้โครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญบางโครงการเกือบจะแล้วเสร็จ การปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานจะสร้างโอกาสที่สำคัญสำหรับองค์กรต่างๆกระตุ้นให้บริษัทเวียดนามเตรียมพร้อมที่จะรับโอกาสดังกล่าว อีกทั้งยังเรียกร้องให้บริษัทเวียดนามในสปป.ลาวปรับปรุงรูปแบบการจัดการองค์กรและใช้โซลูชันออนไลน์เพื่อรับมือกับการระบาดใหญ่ของ COVID-19 และพัฒนาแผนการลงทุนและการผลิตหลังการระบาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเวียดนามมีโครงการในสปป.ลาว 413 โครงการด้วยทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 4.22 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา :  https://vietnamnews.vn/economy/749526/vietnamese-investors-in-laos-discuss-measures-to-cope-with-covid-19.html

กัมพูชามองหาแหล่งเงินกู้ต่างประเทศเพื่อกระตุ้นการเติบทางเศรษฐกิจ

กัมพูชากำลังมองหาแหล่งเงินกู้อื่น ๆ เช่นจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และพันธมิตร รวมถึงธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) และธนาคารโลก เพื่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ เพื่อสร้างสมดุลหนี้สินในระบบเศรษฐกิจ โดยฮิโรชิซูซูกิประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของสถาบันวิจัยธุรกิจแห่งกัมพูชา (BRIC) กล่าวว่าสัดส่วนหนี้คงค้างจากจีนอยู่ที่ร้อยละ 47.48 จากสถิติหนี้สาธารณะของกัมพูชา ซึ่งรายงานจาก MEF ณ ปี 2562 หนี้สาธารณะของกัมพูชาอยู่ที่ 7.6 พันล้านดอลลาร์ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นอยู่ที่เพียงร้อยละ 0.01 ต่อปีและครบกำหนด 40 ปีตามรายงาน ซึ่ง ADB เพิ่งอนุมัติเงินกู้ 250 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลกัมพูชาในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของ COVID-19 และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับธุรกิจ โดยกัมพูชาเก็บภาษีได้ 6 พันล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นกว่า 1.485 พันล้านดอลลาร์จากเป้าหมายของรัฐบาลที่ 4.56 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาดังกล่าว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50744111/widening-foreign-debt-sources-to-boost-economic-growth/

เวียดนามเปิดตัวเลขเดือนม.ค.-มิ.ย. มียอดเกินดุลการค้า 5.46 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าพิษโควิด-19

ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. ปี 2563 เวียดนามมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศสูงถึง 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งออกเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณ 122.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าที่ 117.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เดือนมิ.ย. เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของเวียดนาม ได้แก่ โทรศัพท์และชิ้นส่วน คาดว่ามียอดส่งออก 18.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ มีมูลค่า 19.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน ยอดส่งออกเสื้อผ้าลดลงร้อยละ 13 สู่ระดับ 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ จีนยังคงเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 34.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เวียดนามขาดดุลการค้าที่ 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน

ที่มา : https://vietreader.com/business/5246-vietnams-jan-june-trade-surplus-seen-expanding-to-546bln-despite-virus.html