‘ข้าวเวียดนาม’ ราคาพุ่ง แต่กลับขายดี

กรมศุลกากรเวียดนาม (GDC) รายงานว่าการส่งออกข้าวของเวียดนาม มีจำนวนมากกว่า 1 ล้านตันในเดือน เม.ย. ปี 2566 คิดเป็นมูลค่ากว่า 620 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ายอดการส่งออกข้าวของเวียดนามสูงถึง 3.17 ล้านตัน มูลค่า 2.04 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.5% และ 33.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามลำดับ โดยราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 644 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 22% ถึงแม้ว่าราคาข้าวจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ฟิลิปินส์ที่เป็นตลาดนำเข้าข้าวเวียดนามรายใหญ่กลับซื้อข้าวปริมาณมาก

นอกจากนี้ นาย Phung Van Thanh ที่ปรึกษาการค้าเวียดนามในฟิลิปปินส์ กล่าวว่าเวียดนามมีศักยภาพและโอกาสที่จะส่งออกไปยังตลาดแห่งนี้ และแนะนำว่าผู้ส่งออกข้าวเวียดนามควรร่วมมือกับผู้นำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพข้าวที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์ได้ ตั้งแต่ผู้ที่มีรายได้ปานกลางไปจนถึงผู้ที่มีรายได้สูง

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/prices-stay-high-but-vietnam-s-rice-selling-well-2281252.html

‘เวียดนาม’ ดาวรุ่งในอินโดแปซิฟิก

สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดา (EDC) เผยแพร่บทความเรื่อง ‘การทำธุรกิจในเวียดนาม: จับตาดาวรุ่งในอินโดแปซิฟิก’ รายงานว่าเวียดนามกลายมาเป็นดินแดนแห่งมังกร รวมถึงกลายมาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าในอุดมคติ ในขณะที่จากข้อมูลของการประชุม World Economic Forum (WEF) เปิดเผยว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 8% ต่อปีแบบทบต้นในปีที่แล้ว และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนาม ขยายตัว 5% โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้า จะขยายตัว 6% และ 7% ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้ จากตัวเลขเศรษฐกิจจึงทำให้สำนักงานฯ เลือกเวียดนามเป็นตัวแทนดาวรุ่งในเอเชียแปซิฟิก

นอกจากนี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่าถึงแม้ค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มขึ้น แต่ค่าแรงของเวียดนามยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิก อีกทั้งการเติบโตของคนชนชั้นกลางเวียดนาม แซงหน้าประเทศในภูมิภาค ถึงแม้ว่าขนาดของเศรษฐกิจเวียดนามจะมีขนาดเล็กกว่าประเทศเพื่อนบ้านบางแห่ง แต่ประชากรเวียดนามมีจำนวนเกือบ 100 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่ากลุ่มประชากรครึ่งหนึ่งมีอายุต่ำกว่า 30 ปี

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-rising-star-in-indo-pacific-canadian-agency-post286074.vnp

ผู้ประกอบการท่าเรือบก สปป.ลาว – ทางการมณฑลยูนนาน หารือปรับปรุงระบบขนส่งข้ามพรมแดน

ผู้ประกอบการท่าเรือบกและศูนย์โลจิสติกส์แห่งเวียงจันทน์ และคณะผู้แทนจากมณฑลยูนนานของจีน จัดการเจรจาเรื่องการปรับปรุงระบบขนส่งทางรางและการค้าข้ามพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศ โดยนายหลิว หงเจียน สมาชิกคณะกรรมการประจำคณะกรรมการพรรคมณฑลยูนนาน และเลขาธิการคณะกรรมการเทศบาลคุนหมิง นำคณะเยี่ยมชมศูนย์โลจิสติกส์บูรณาการของ สปป.ลาว ซึ่งเป็นจุดที่เส้นทางรถไฟลาว-จีน และลาว-ไทยมาบรรจบกัน โดยโครงการ Lao Logistics Link มีจุดประสงค์เพื่อตอบสนองต่อความพยายามของรัฐบาล สปป.ลาว ในการเปลี่ยนประเทศลาวที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลให้กลายเป็นประเทศเชื่อมโยงการขนส่งทางบก

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_92_Lao_y24.php

ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราที่ได้รับอนุญาตจะต้องขายสกุลเงินต่างประเทศในราคาควบคุม: ธนาคารกลางเมียนมา

ตามประกาศของ ธนาคารกลางเมียนมา ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตรามีหน้าที่ขายสกุลเงินต่างประเทศตามอัตราที่กำหนดของธนาคารกลางแห่งเมียนมา (CBM) หากไม่ทำเช่นนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากบัตรเดบิตและบัตรเครดิตสำหรับการทำธุรกรรมระหว่างประเทศแล้ว CBM ยังอนุญาตให้ผู้แลกเงินที่ได้รับอนุญาตขายสกุลเงินต่างประเทศได้ที่สนามบินนานาชาติย่างกุ้ง (YIA) หรือเคาน์เตอร์ที่กำหนดของตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต (ธนาคารเอกชน) เพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนเงินสดย่อยและควบคุม โดยเริ่มบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 สำหรับธุรกรรมที่ผิดกฎหมายในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ผู้ที่ไปทำงานในต่างประเทศ ไปรับการรักษาพยาบาล และศึกษาต่อต่างประเทศ และเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2566 สำหรับผู้แสวงบุญและเข้าร่วมเวิร์คช็อปหรือการประชุมตามคำเชิญขององค์กรภาครัฐต่างประเทศ อย่างไรก็ดี หากชาวเมียนมาต้องการแลกเปลี่ยนสกุลเงินมากกว่าเงินสดที่มีอยู่ สามารถใช้บัตรเดบิตและบัตรเครดิตระหว่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังมีการเยี่ยมเยียนร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งและข้อบังคับที่กำหนดไว้ภายใต้กฎหมายการจัดการการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/authorized-money-changers-must-sell-foreign-currencies-at-regulated-prices-cbm/

อาเซียนวางแผนที่จะช่วยเหลือเมียนมาในการแก้ไขปัญหาปัจจุบันอย่างสันติ

ประธานสภาบริหารแห่งรัฐ นายกรัฐมนตรี พลเอกอาวุโส มิน ออง หล่าย ให้การต้อนรับคณะผู้แทน นำโดย นายอลุนแก้ว กิตติคุณ ทูตพิเศษของประธานอาเซียนด้านเมียนมา และเลขาธิการอาเซียน ดร.เกา คิม ชั่วโมง ณ หอรับรองประจำสำนักงาน ก.ล.ต. ที่กรุงเนปิดอว์เมื่อเช้าวานนี้ โดยในการประชุมดำเนินแผนงาน 5 ประการเพื่อประกันสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาของประเทศ พวกเขาหารือถึงความร่วมมือของเมียนมาในอาเซียน เงื่อนไขการมีส่วนร่วมของเมียนมาในการประชุมอาเซียน การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยอาเซียนแก่เมียนมา และความร่วมมือที่ดีที่สุดของเมียนมาในการกระจายความช่วยเหลือให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความพยายามของเมียนมาในการดำเนินการตามระบบประชาธิปไตยหลายพรรคที่ประชาชนปรารถนาอย่างมั่นคง การเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปตามระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคที่เสรีและยุติธรรม และข้อกำหนดให้ทุกคนทราบสภาพที่แท้จริงของเมียนมา

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/asean-plans-to-assist-myanmar-in-peacefully-solving-current-issues/

กัมพูชาเตรียมเปิดเที่ยวบินตรงระหว่าง กัมพูชา-อินเดีย

สายการบินแคมโบเดีย อังกอร์ แอร์ สายการบินแห่งชาติของกัมพูชา ได้ประกาศเปิดตัวบริการเที่ยวบินตรงระหว่างกัมพูชาและอินเดียเป็นครั้งแรก โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. ซึ่งจะให้บริการ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ได้แก่ วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ และวันอาทิตย์ เชื่อมพนมเปญและนิวเดลี ด้าน Eng Molina ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของสายการบินกัมพูชาอังกอร์แอร์ไลน์กล่าวเสริมว่า ราคาต่อคนสำหรับการเดินทางไปกลับจากนิวเดลีไปยังพนมเปญรวมภาษีแล้วอยู่ที่ประมาณ 23,000 รูปี ขณะที่ Koy Kuong เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำอินเดีย มองอนาคตในแง่ดีว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาระหว่างทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของทุกปี หลังจากการเชื่อมต่อเที่ยวบินตรงและความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในอินเดีย โดยคาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำให้เกิดการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501488700/cambodia-to-begin-direct-flights-to-india-from-june-16/

กัมพูชาส่งออกยางพาราในช่วง 4 เดือนแรกของปีแตะ 125 ล้านดอลลาร์

กัมพูชาส่งออกยางแห้งจำนวน 85,428 ตัน ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 จากจำนวน 82,359 ตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามรายงานของ General Directorate of Rubber โดยรายงานระบุว่า กัมพูชาสร้างรายได้จากการส่งออกยางแห้งกว่า 125 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 จากมูลค่า 116.4 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจุบันยางแห้งหนึ่งตันมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,465 ดอลลาร์ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 51 ดอลลาร์ สำหรับประเทศผู้นำเข้ารายสำคัญยังคงเป็นมาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน เป็นหลัก ด้านพื้นที่เพาะปลูกภายในกัมพูชาอยู่ที่ 407,172 เฮกตาร์ โดยมีพื้นที่พร้อมเก็บเกี่ยว 320,184 เฮกตาร์ หรือร้อยละ 78.6 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501488697/cambodia-makes-125-mln-from-rubber-export-in-first-4-months/