ทำไมเวียดนาม มีผู้หญิงเก่งจำนวนมาก | สัดส่วนผู้บริหารหญิง แซงหน้าไทยไปแล้ว
ข้อมูลจาก “CS Gender 300” รายงานของ Credit Suisse ทำการสำรวจประเด็นเพศสภาพของผู้บริหารทั่วโลก เพื่อศึกษาดูว่า ในโลกธุรกิจมีความหลากหลายทางเพศ และได้สะท้อนภาพทางสังคม รวมถึงส่งผลต่อการดำเนินงานทางธุรกิจอย่างไร ในงานวิจัยพบว่าเวียดนามแซงไทยไปแล้วในทุกด้าน ทั้งตำแหน่งประธานบริหารสูงสุดหรือซีอีโอ (CEO), ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินหรือซีเอฟโอ (CFO) และตำแหน่งผู้บริหารทั่วไป (Business Management)
ทั้งนี้ ดร.พิสิฐ อำนวยเงินตรา ผู้เชี่ยวชาญด้านเวียดนามศึกษา กล่าวว่าสังคมเวียดนามเชื่อมั่นว่าผู้หญิงทำมาค้าขายเก่งกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะเรื่องการเงิน และทุกวันนี้ มีกระแสสังคมในเวียดนาม ที่ต้องการผลักดันให้สัดส่วนของผู้หญิงมีมากขึ้นในทุกองค์กร ในทุกส่วนของสังคม ตลอดจนวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิงอย่างมาก บ่งชี้ได้จากมีวันสตรีสากลที่ทำการเฉลิมเฉลิงอย่างยิ่งใหญ่และซึมงึกข้าไปในวัฒนธรรม คนเวียดนามจะซื้อดอกไม้ไปให้เพื่อนร่วมงานหญิง เพื่อแสดงความชื่นชมยินดี
ที่มา : https://workpointtoday.com/women-vietnam-ceo/
อ้างอิง – Credit Suisse, BBC, Bloomberg, WorldBank, งานวิจัยผู้หญิงในเวียดนาม, VNexpress, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
‘การรถไฟเวียดนาม’ ปักหมุดก้าวหน้าปี 65
การรถไฟเวียดนาม (VRN) ชี้เริ่มต้นปีมีสัญญาเขิงบวกหลายประการ เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่อย่างไรก็ดีการแพร่ระบาดเชื้อโรคยังคงทำให้ผู้คนวิตกกังวล ทั้งนี้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การรถไฟปรับลดราคา 40% สำหรับตั๋วรถไฟ 1 ท่านต่อ 1 คนในกรณีที่เดินทางไกล รวมถึงจองตู้โดยสารทั้งหมดหรืออาหารฟรีบนรถไฟ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมส่งเสริม การรถไฟฯ เร่งปรับปรุงการดำเนินงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายและระงับเส้นทางที่มีผู้โดยสารน้อย ทั้งนี้ การรถไฟฯ ได้เปิดตัวการให้บริการตัวใหม่ เพื่อดึงดูดผู้โดยสารที่มีความต้องการทางด้านการท่องเที่ยวในระดับสูงและการขนส่งสินค้าทางไกล โดยการขนส่งสินค้าทางรถไฟครั้งแรกจากรุงดานังไปยังยุโรป จะเริ่มต้นในเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ ตามตัวเลขสถิติของการรถไฟฯ ชี้ให้เห็นว่าในช่วง 4 เดือนนับตั้งแต่มีการเปิดตัวเมื่อเดือนก.ค.ในปีที่แล้ว การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมด มีจำนวน 644 ตู้ ขนาด 40 ฟุตผ่านรถไฟ 28 ขบวนไปยังยุโรป หรือเฉลี่ย 3 รถไฟต่อสัปดาห์
ที่มา : https://hanoitimes.vn/vietnam-railway-set-for-breakthroughs-in-2022-320164.html
‘ADB’ ชี้ 3 ทางเลือกที่ยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการหญิงในเวียดนาม
นายโดนัลด์ แลมเบิร์ต ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการพัฒนาธุรกิจภาคเอกชนของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ได้เปิดเผย 3 ทางเลือกให้กับคณะกรรมการธนาคารเกี่ยวกับการส่งเสริมผู้ประกอบการหญิงในเวียดนาม ธุรกิจที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของนั้นกลายมาเป็นตัวเร่งให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเวียดนามมีผู้หญิงเป็นเจ้าของธุรกิจกว่า 24% อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน ผู้ประกอบการ SMEs ที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของธุรกิจต้องเผชิญกับอุปสรรคทางการเงิน ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานจะคล้ายกับผู้ชายที่เป็นเจ้าของธุรกิจและมีโอกาสต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการชายที่ต้องการกู้เงินจากธนาคาร ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสำหรับผู้ประกอบการหญิงเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นปัญหาในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญของธนาคาร ADB ได้เสนอทางเลือก 3 ด้านในการส่งเสริมผู้ประกอบการหญิงในเวียดนาม ได้แก่ 1) กลยุทธ์ เจ้าหน้าที่ธนาคารต้องทำความเข้าใจถึงความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ประกอบการหญิง 2) กลยุทธ์ขององค์กรว่ามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ 3) ข้อมูลพื้นฐานของผลิตภัณฑ์ โครงสร้างลูกค้า ฯลฯ
รัฐบาลตั้งเป้า GDP เติบโตอย่างน้อยร้อยละ 4
รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีอย่างน้อย 4% นับจากนี้จนถึงปี 2025 แม้ว่าจะไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจะควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้เมื่อใด ภาครัฐตั้งเป้าภาคการเกษตรคาดว่าจะเติบโตที่อัตราเฉลี่ย 2.5 % ต่อปี คิดเป็น 15.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภายในปี 2568 ด้านอุตสาหกรรมคาดว่าจะเติบโตในอัตราร้อยละ 4.1 ต่อปี และจะประกอบด้วยร้อยละ 32.3 ของ GDP ภายในปี 2568 ในขณะที่ภาคบริการคาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 6 คิดเป็นร้อยละ 40.7 ของ GDP ใน อีก 3-4 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ภาคภาษีและภาษีคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 5.8 และควรคิดเป็นร้อยละ 11.7 ของ GDP ภายในปี 2568 รัฐบาลเชื่อว่ารายได้ GDP ต่อหัวต่อปีจะสูงถึง 2,880 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 ทั้งนี้สปป.ลาวสามารถบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจได้หากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่มีความคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ โครงการเหล่านี้รวมถึงเมืองอัจฉริยะ ทางด่วน เขตเศรษฐกิจพิเศษ ไฟฟ้าพลังน้ำ เหมืองแร่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบอื่นๆ ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP ได้อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งก็คือความสามารถของรัฐบาลในการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govtaims_47_22.php
กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังจีนกว่า 1 แสนตัน ภายใต้ MoU ฉบับล่าสุด
สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) กล่าวว่ากัมพูชาส่งออกข้าวมากกว่า 100,000 ตัน ไปยังจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกความเข้าใจฉบับที่ 6 โดยทางการจีนกำหนดให้โควตาการส่งออกข้าวสารกัมพูชาไปยังจีนรวม 400,000 ตันต่อปี ซึ่ง MoU ได้ลงนามเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2021 โดย ปาน สรศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา และหลู่ จุน ผู้อำนวยการทั่วไปของ China Oil and Foodstuffs Corporation (COFCO) ตามรายงานของ CRF ซึ่งได้ระบุเพิ่มเติมว่าความต้องการข้าวหอมมะลิของกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้นในจีน โดยในปัจจุบันเป็นที่นิยมใน 9 จังหวัดของจีน ได้แก่ กวางตุ้งนำเข้าข้าวสารจากกัมพูชาคิดเป็นร้อยละ 77.6 ของส่งออกข้าวสารไปยังจีน ในขณะที่หูเป่ยนำเข้าร้อยละ 6.8, มณฑลฝูเจี้ยนร้อยละ 3.7, มณฑลหูหนานร้อยละ 3.4 เป็นต้น ซึ่งในปี 2021 กัมพูชาส่งออกข้าวสารไปยังจีนปริมาณรวม 306,222 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทะลุเป้าหมายโควตาที่ได้กำหนดไว้ที่ 300,000 ตัน
FDI กัมพูชาขยายตัวร้อยละ 22 มูลค่าแตะ 4.35 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2021
ตามรายงานของสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) กัมพูชาสามารถดึงเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้จำนวน 4.35 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจีน สหรัฐฯ และสิงคโปร์ ถือเป็นกลุ่มทุนรายใหญ่ของกัมพูชา ซึ่งภายหลังรัฐบาลกัมพูชาได้ประกาศกรอบยุทธศาสตร์และแผนงานสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ประจำปี 2021-2023 โดยมีเสาหลัก 3 ประการ ได้แก่ การกู้คืน การปฏิรูป และการสร้างความยืดหยุ่น เพื่อการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การอำนวยความสะดวกทางการค้า กฎหมายที่จะเกิดขึ้น รวมถึงเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษและการดำเนินการตามกฎหมายด้านการลงทุนฉบับใหม่ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้นและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยมากขึ้นสำหรับนักลงทุน
ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501037592/cambodia-fdi-inflows-zoom-22-percent-at-4-35-billion-in-2021/