‘เวียดนาม’ เผยยอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ 10 เดือนแรก โต 9.4%

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (GSO) เปิดเผยว่ายอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ ในช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค. อยู่ที่ 5.1 ล้านล้านด่อง หรือประมาณ 207.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รายได้จากการค้าปลีกสินค้ามีสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 78.1% ของมูลค่าทั้งหมด เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยว มีมูลค่าอยู่ที่ 30.2 ล้านล้านด่อง เพิ่มขึ้น 47.6% เนื่องจากส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศได้มีการนำเสนอวัฒนธรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย รวมถึงกิจกรรมทางวัฒนธรรมและกีฬา เพื่อกระตุ้นความต้องการในการเดินทาง

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/tenmonth-retail-sales-of-consumer-goods-services-up-94/270768.vnp

‘เวียดนาม’ เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม 10 เดือนแรก โต 0.5%

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (GSO) เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (IIP) ของเวียดนาม ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัว 0.5% ในขณะที่เดือนตุลาคม เพียงเดือนเดียว ขยายตัว 4.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ คุณ Phi Thi Huong Nga หัวหน้าสำนักงานสถิติอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง กล่าวว่าถึงแม้กิจกรรมการผลิตและการดำเนินธุรกิจของธุรกิจภาคอุตสาหกรรมที่เผชิญกับความยากลำบาก แต่ก็กลับมาฟื้นตัวในเชิงบวกมากกว่าไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ นอกจากนี้ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.66 พบว่าจำนวนคนงานในธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ขยายตัว 1.0% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และหดตัว 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/industrial-production-index-up-05-in-ten-months/270761.vnp

เมียนมา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ประชุมความร่วมมือโครงการเทคโนโลยีและนวัตกรรม

Dr. Myo Thein Kyaw รัฐมนตรีสหภาพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พบปะกับศาสตราจารย์ Yin Hejun รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน วานนี้ การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นที่โรงแรม Wyndham Chongqing Yuelai ในเมืองฉงชิ่ง โดยเน้นไปที่วิทยาศาสตร์และการร่วมมือกันในโครงการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่อมากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้มีเป้าหมายในการดำเนินการตามความพยายามที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเทคโนโลยีอาหารและนวัตกรรมเทคโนโลยีเคมีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนความร่วมมือในการวิจัยด้านโลหะวิทยาและวัสดุศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและครูอีกด้วย อย่างไรก็ดี ยังได้มีการเยี่ยมชมศูนย์ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศในเมืองฉงชิ่ง ห้องปฏิบัติการ Jinfeng ในช่วงเย็น และได้เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมยานพาหนะที่เชื่อมต่ออัจฉริยะของเมืองวิทยาศาสตร์ตะวันตก หู เหิงฮวา

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-peoples-republic-of-china-explore-collaborative-technology-and-innovation-projects/

การลงทะเบียนข้อมูลที่จำเป็นสำหรับสถานที่จัดเก็บเมล็ดพืช กับ MyRO

กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสหพันธ์ข้าวเมียนมาร์ จัดพิธี Go-Live สำหรับเว็บไซต์ Myanmar Rice Online (MyRO) และการประชุมเกี่ยวกับแพลตฟอร์มการลงทะเบียน MyRO สำหรับโรงเก็บเมล็ดพืชที่โรงแรม Thingaha ในเมืองเนปิดอว์ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยตั้งเป้าประกันการพึ่งพาตนเองในสินค้าข้าว การส่งออกอย่างเป็นระบบ ความมั่นคงด้านราคาและการลงทะเบียนการจัดเก็บเมล็ดพืชอย่างเป็นระบบและการนำระบบการเงินใบเสร็จรับเงินของคลังสินค้าไปใช้ ด้าน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้านการวางแผนและการคลัง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เน้นย้ำถึงการดำเนินการตามกระบวนการทำงานของการประชุมข้าวเมียนมาร์ 2022 เช่น ระบบประกันพืชผลสำหรับเกษตรกร และการยกระดับสินค้าข้าว โดยระบบ MyRO นี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนโรงเก็บธัญพืช ใบอนุญาตผู้ส่งออก และการจดทะเบียนโรงสีข้าวผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยจะจัดให้มีระบบการลงทะเบียนที่ง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพเหมือนกับการจดทะเบียนบริษัท มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นก้าวแรกสำหรับภาคส่วนสินค้าข้าวในการก้าวไปข้างหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล รัฐจะช่วยสร้างความมั่นคงทางนโยบายเพื่อให้แน่ใจว่ามีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อสร้างความสามัคคีที่มากขึ้นมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐ อย่างไรก็ตาม โครงการนำร่องดังกล่าวมีกำหนดจะเริ่มดำเนินการในเขต เนปิดอว์ ย่างกุ้ง อิรวดี พะโค และมัณฑะเลย์ MyRO จะเผยแพร่ข้อมูลสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมข้าว รวมถึงเกษตรกร พ่อค้า โรงสีข้าว ผู้ส่งออก ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บริโภค และอำนวยความสะดวกในกระบวนการลงทะเบียน ดังนั้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในอุตสาหกรรมจึงได้รับการสนับสนุนให้ร่วมมือกันในโครงการนี้

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/registration-on-myro-required-for-grain-storage-facilities/

โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ดันหนี้สาธารณะกัมพูชาขยายตัว

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต กล่าวถึงสถานการณ์หนี้สาธารณะของกัมพูชาที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจให้เกิดการเติบโต ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงทางด้านหนี้สาธารณะ โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะของกัมพูชามีมูลค่ารวมอยู่ที่ 10.72 พันล้านดอลลาร์ แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำ ตามรายงานของกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังกัมพูชา ซึ่งหนี้สาธารณะจำนวนดังกล่าวร้อยละ 64 มาจากการกู้ยืมจากหุ้นส่วนการพัฒนาในระดับทวิภาคี รวมถึงมาจากหุ้นส่วนการพัฒนาในระดับพหุภาคีที่ร้อยละ 36 และหนี้สาธารณะในประเทศอยู่ที่ร้อยละ 0.43 สำหรับปีนี้ รัฐบาลได้วางแผนที่จะระดมทุน 200 ล้านดอลลาร์ จากการออกพันธบัตรรัฐบาล และสำหรับปีหน้ารัฐบาลกัมพูชากำลังวางแผนที่จะระดมทุนเพิ่มอีก 108 ล้านดอลลาร์ ด้วยวิธีเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะนำไปใช้ในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการชำระคืนเงินต้น รวมถึงจ่ายดอกเบี้ยให้กับพันธบัตรที่ออกในปีที่แล้ว ตามร่างกฎหมายงบประมาณแห่งชาติประจำปี 2024

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501386323/public-debt-drove-infrastructure-growth-says-pm/

กัมพูชาส่งออกข้าวสารไปยังอินโดนีเซียเป็นครั้งแรกหลังลงนาม MoU สำเร็จ

กัมพูชาส่งออกข้าวสารไปยังอินโดนีเซียเป็นครั้งแรก หลังก่อนหน้าได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ณ เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยทางการกัมพูชาหวังที่จะขยายตลาดส่งออกข้าวสารไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้กัมพูชาส่งออกข้าวสารไปยังอินโดนีเซียประมาณ 3,500 ตัน สำหรับการขนส่งในครั้งแรก ซึ่งอินโดนีเซียตกลงที่จะนำเข้าข้าวสารจากกัมพูชาปริมาณรวมกว่า 125,000 ตัน ภายในปี 2023 สำหรับการส่งออกข้าวโดยภาพรวมของกัมพูชาในช่วง 9 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 456,581 ตัน ไปยัง 57 ประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 327.4 ล้านดอลลาร์ ตามการรายงานของสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) โดยจีนและยุโรปยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับภาคการส่งออกข้าวสารของกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501386510/cambodia-exports-milled-rice-to-indonesia-for-1st-time/

นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอใน EEC

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีและคณะ ในโอกาสเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรม WHA ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการที่ภาครัฐและเอกชนของไทยมีความตั้งใจในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้มีมาตรฐานระดับโลก เพื่อขยายโอกาสความร่วมมือการลงทุนกับเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกเหนือจากการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ครบวงจรชั้นนำของโลกในปัจจุบัน โดยถือเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับการที่รัฐบาลได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติชุดใหม่ โดยมีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ในช่วงระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2567-2570 นับเป็นการกระตุ้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนจากผู้ประกอบการรายใหม่จากทั่วโลก สอดคล้องนโยบายของรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ WHA ยังพร้อมสนับสนุนการพัฒนาในเขต EEC ควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นไปได้ในการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ อย่างมีประสิทธิภาพทั่วประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ที่จะสร้างประโยชน์ด้านการลงทุนทั้งต่อ EEC และต่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ให้ยั่งยืน

ที่มา : https://www.mitihoon.com/2023/11/06/415503/

‘เศรษฐกิจเวียดนาม’ อาจโตไม่ถึง 6.5% ตามที่ตั้งเป้าไว้

นายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้กล่าวปราศรัยในการประชุมของรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 ต.ค.66 ว่าเวียดนามตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า 5% ในปีนี้ ในขณะที่หน่วยงานภาครัฐให้คำมั่นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 6.5%

ทั้งนี้ ในเดือน ก.ย. กระทรวงการวางแผนและการลงทุน (MPI) ได้เสนอสมมุติฐานของสถานการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ 3 กรณี และพบว่าในกรณีที่ดีที่สุด เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวที่ 6% ในปี 2566 เวียดนามจำเป็นที่จะต้องให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ขยายตัว 10.6% ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตสูงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น หากเศรษฐกิจเวียดนามไม่สามารถบรรลุตามที่ตั้งเป้าไว้ที่ 6.5% ก็ไม่น่าแปลกใจ

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-s-economy-6-5-growth-rate-target-maybe-unattainable-2210345.html

‘สื่อนอก’ ชี้เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจโตเร็วที่สุด

สำนักข่าวต่างประเทศเอเชีย ไทมส์ (Asia Times) ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการประเมินทางด้านเศรษฐกิจในหัวข้อ ‘เสือเศรษฐกิจเวียดนาม’ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ทวีความรุนแรงสูงขึ้น

ทั้งนี้ จากบทความชี้ให้เห็นว่าอันดับการค้าของเวียดนามในตลาดสหรัฐฯ ได้ก้าวกระโดดจนแซงเกาหลีใต้ ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 6 ในปีที่แล้ว ซึ่งการเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจเวียดนาม เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุดไปยังตลาดสหรัฐฯ ไม่ใช่สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มอีกต่อไป แต่กลับกลายมาเป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมไปถึงเวียดนามส่งเสริมการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง และบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก อาทิเช่น ‘Apple’ ได้ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปเวียดนาม และบริษัทอัมกอร์ เทคโนโลยี ของสหรัฐฯ ลงทุนก่อสร้างโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ มูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-among-fastest-growing-economies-asia-times-2210814.html

นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางทางอากาศพุ่งแตะ 880,000 คนใน 9 เดือน

U Aung Aye Han รองอธิบดีกรมโรงแรมและการท่องเที่ยวของเมียนมา กล่าวว่าตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงกันยายน 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังเมียนมาทางอากาศมากกว่า 880,000 คน ทั้งนี้ การมาถึงของนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ผ่านทางเที่ยวบินในปีนี้ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วในปี 2565 มีอัตราการเติบโตคิดเป็นเกือบ 5 เท่า ด้านนาย U Aung Aye Han กล่าวว่า การเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศเมียนมา เดินทางผ่านแดนเข้ามาโดยผ่านทั้งทางอากาศและทางทะเล ปัจจุบัน ในปี 2023 เริ่มเปิดให้มีการเดินทางทางอากาศและการเข้าชายแดนเป็นหลัก ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย เพื่อเตรียมพร้อมรับฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงนี้ และยังได้เชิญนักท่องเที่ยวชาวไทยและรัสเซียเข้าเยี่ยมชมประเทศด้วย อีกทั้งจำนวนประเทศปลอดวีซ่ากับเมียนมาในปัจจุบันมีถึง 24 ประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีคนมาเที่ยวเมียนมาเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในเมียนมา มีการระบุและจัดเตรียมจุดหมายปลายทาง 14 แห่ง สำหรับให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางไปเยี่ยมชมได้ และมีโรงแรม โมเทล และเกสท์เฮาส์กว่า 2,000 แห่งเพื่อรองรับ นอกจากนี้ ยังมีไกด์นำเที่ยวที่ได้รับใบอนุญาตมากกว่า 2,000 ราย และบริษัทท่องเที่ยวกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/foreign-tourist-arrivals-via-air-soar-to-880000-in-nine-months/#article-title