จับตาเวียดนามวิกฤตหนักไฟฟ้าส่อขาดแคลน

“เวียดนาม” ประเทศ “น่าลงทุน” และมีศักยภาพการพัฒนาอันดับต้น ๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วันนี้…กำลังเผชิญวิกฤตพลังงานไฟฟ้าขาดแคลนอย่างหนักมาตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และส่อแววยืดเยื้อไปจนถึงฤดูร้อนในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ถึงขั้นต้องประกาศเวียนดับไฟฟ้าทั่วประเทศเพื่อรับมือกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยบางพื้นที่อาจต้องดับไฟฟ้านานกว่า 7 ชั่วโมง ทั้งที่ประเทศเวียดนามมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งในระบบมากถึง 80,704 เมกะวัตต์ ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 45,434 เมกะวัตต์ สะท้อนถึงปัญหาความมั่นคงระบบไฟฟ้าและคุณภาพไฟฟ้าของเวียดนามที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล

ที่มา : https://www.thaipost.net/hi-light/392968/

“เวียดนาม” แก้ไขปัญหาไฟดับ! ในภาคเหนือของประเทศ

ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. โรงไฟฟ้าพลังความร้อนท้ายบิ่ญ 2 (Thai Binh) ได้กลับมาดำเนินกิจการตามปกติแล้ว โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 8 ล้านกิโลวัตต์ต่อวัน และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงิเซิน (Nghi Son) คาดว่าจะเดินเครื่องด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้า 13 ล้านกิโลวัตต์ต่อวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. ทั้งนี้ ตามข้อมูลของการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) เปิดเผยว่าระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำไฟฟ้าพลังน้ำเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังคงอยู่ในระดับวิกฤต เครื่องกำเนิดไฟฟ้าบางเครื่องกลับมาทำงานอีกครั้ง แม้ว่ากำลังการผลิตจะลดลงก็ตาม เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าในภาคเหนือของเวียดนาม ทางศูนย์สั่งการพลังงานแห่งชาติได้เพิ่มกำลังส่งระยะสั้น 2,600 MVA บนสายส่ง Nho Quan-Nghi Son 2-Ha Tinh ขนาด 500 กิโลวัตต์ เพื่ออำนวยความสะดวกจากภาคใต้สู่ภาคเหนือของประเทศในช่วงเวลาเร่งด่วน

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/electricity-shortage-in-northern-vietnam-eases/

“อียู” ประกาศผ่อนปรนกฎระเบียบของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากเวียดนาม

การแก้ไขกฎระเบียบฉบับที่ 2019/1973 ที่แผยแพร่เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. เกี่ยวกับมาตรการฉุกเฉินในการควบคุมการส่งออกอาหารไปยังสหภาพยุโรป ด้วยเหตุนี้ สหภาพยุโรปจึงย้ายข้อกำหนดของสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเวียดนามจากภาคผนวก 2 ซึ่งต้องมีใบรับรองสุขอนามัย (HC) และการควบคุมในอัตรา 20% ที่ประตูชายแดนไปยังภาคผนวก 1 ที่กำหนดให้ควบคุมผลิตภัณฑ์เพียง 20% ที่ประตูพรมแดนสหภาพยุโรป การตัดสินใจครั้งนี้นับเป็นความสำเร็จของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MoIT) ในการควบคุมความปลอดภัยของอาหารและสนับสนุนธุรกิจในการแก้ปัญหา นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมคุณภาพของผลิตภัณฑ์เวียดนามที่จะเข้าไปสู่ตลาดสหภาพยุโรปนั้น จำเป็นที่ต้องผลักดันภาคธุรกิจให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของอาหารของสหภาพยุโรปอย่างเคร่งครัด

ที่มา : https://en.baochinhphu.vn/eu-eases-regulations-on-viet-nams-instant-noodles-11123061211192207.htm

“เมียนมา” เผยราคาถั่วเขียวผิวดำ พุ่ง 2.4 ล้านจ๊าดต่อตัน

จากข้อมูล ณ วันที่ 10 มิ.ย. 2566 ระบุว่าราคาถั่วเขียวผิวดำ (Black gram) อยู่ที่ 2.45 ล้านจ๊าดต่อตัน (FAQ/RC) และ 2.69 ล้านจ๊าดต่อตัน (SQ/RC) ในตลาดย่างกุ้ง ขณะที่ราคา FOB อยู่ที่ 950-970 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยราคาปัจจุบันทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 ราคาอยู่ที่ 2.456 ล้านจ๊าดต่อตัน (FAQ/RC) และ 2.656 ล้านจ๊าดต่อตัน (SQ/RC) ทั้งนี้ ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายในตลาดถั่วพัลส์ เมียนมา ในปี 2551 พบว่าราคาเขียวผิวดำ อยู่ที่ 700,000 จ๊าดต่อตัน และต่อมาราคาปรับตัวลดลงเหลือ 360,000 จ๊าดต่อตัน นอกจากนี้ ยังเผชิญกับข้อจำกัดในการนำเข้าถั่วพัลส์และส่งผลให้อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย อย่างไรก็ดี ตามข้อมูลในปัจจุบัน ราคากลับมาพุ่งสูงขึ้นกว่า 2.4 ล้านจ๊าดต่อตัน เนื่องจากค่าเงินจ๊าดอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/black-gram-price-rockets-to-above-k2-4-mln-per-tonne/#article-title

ภาคธุรกิจ สปป.ลาว-จีน ร่วมส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกัน

การประชุมด้านการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงเศรษฐกิจและการค้ากุ้ยหยาง-เวียงจันทน์ จัดโดยสำนักการค้าเทศบาลกุ้ยหยาง ร่วมกับสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติ สปป.ลาว (LNCCI) ซึ่งจัดขึ้น ณ เวียงจันทน์ ด้าน Atsaphangthong Siphandone นายกเทศมนตรีเวียงจันทน์ รวมถึง Manothong Vongxay รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ (MOIC) ของ สปป.ลาว ได้เข้าร่วมและเป็นสักขีพยานในการลงนามส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันกับ Ma Ningyu รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลกุ้ยหยางและนายกเทศมนตรีของกุ้ยหยาง โดยหวังว่าจะเป็นการพัฒนาให้รากฐานอุตสาหกรรมมีความมั่นคง และสร้างความได้เปรียบทางระบบนิเวศที่โดดเด่นกับประเทศในกลุ่มสมาชิก RCEP ที่เป็นตลาดสำคัญสำหรับจีน ผ่านการใช้ประโยชน์บนทางรถไฟสาย สปป.ลาว-จีน เป็นช่องทางในการขนส่งสำคัญ ภายใต้โครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (BRI) เพื่อใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งฐานอุตสาหกรรม และนโยบายที่เอื้ออำนวย รวมถึงการขยายการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้ากับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten2023_laochina111.php

ในช่วง 5 เดือนแรงของปี กัมพูชาส่งออกแตะ 9.18 พันล้านดอลลาร์

การส่งออกของกัมพูชาในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2023 มูลค่ารวมแตะ 9.18 พันล้านดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.4 จากเมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการส่งออกรวมมูลค่า 9.41 พันล้านดอลลาร์ ตามการรายงานของกรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา โดยสินค้าส่งออกสำคัญของกัมพูชา ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า สินค้าเดินทาง จักรยาน และสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง กล้วย และมะม่วง สำหรับประเทศส่งออก 5 อันดับแรกของกัมพูชา ได้แก่ สหรัฐฯ เวียดนาม จีน ไทย และญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ข้อตกลงการค้าเสรีกับจีน (CCFTA) และเกาหลี (CKFTA) จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการส่งออกของกัมพูชา

ในขณะเดียวกันการนำเข้าของกัมพูชาจากต่างประเทศมีมูลค่ารวม 10,109 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาดังกล่าว ลดลงร้อยละ 22.6 จากมูลค่ารวม 13,057 ล้านดอลลาร์ ในช่วงปีก่อนหน้า ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมัน ก๊าซ วัตถุดิบสำหรับเสื้อผ้า รองเท้า สินค้าเพื่อการเดินทาง ยานพาหนะ เครื่องจักร เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้าอื่นๆ เป็นสำคัญ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501306111/cambodia-exports-reach-9-18-billion-in-five-months/

นายกฯ ฮุน เซน คาดเศรษฐกิจกัมพูชาขยายตัว 5.6% ปีนี้

นายกรัฐมนตรี ฮุน เซน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (11 มิ.ย.) ว่า เศรษฐกิจของกัมพูชาคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 5.6 ในปี 2023 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.2 ในปี 2022 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้คลี่คลายลง ส่งผลให้ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวภายในประเทศกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง ขณะที่ธนาคารโลกได้กล่าวเสริมในระหว่างการอัพเดทภาวะเศรษฐกิจในช่วงเดือนพฤษภาคมว่าเศรษฐกิจของกัมพูชายังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค และภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มมีการฟื้นตัวหลังจากที่ทางการจีนได้ผ่อนคลายมาตรการด้านการเดินทาง รวมถึงภาคการเกษตรที่เริ่มเห็นถึงการขยายตัวด้านการส่งออก อีกทั้งข้อตกลงความหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP), ข้อตกลงการค้าเสรีกัมพูชา-จีน (CCFTA) และข้อตกลงการค้าเสรีกัมพูชา-สาธารณรัฐเกาหลี จะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501306466/cambodias-economy-projected-to-grow-by-5-6-pct-this-year-say-prime-minister-hun-sen/

อุปทูตจีนคนใหม่เข้าพบไทยสร้างไทย หารือเรื่องรัฐบาลใหม่ มุ่งสานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ-การค้า

วันที่ 9 มิ.ย.66 Mr. Wu Zhiwu อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และคณะ ได้เข้าพบพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งนำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคฯ โดยได้หารือร่วมกันถึงประเด็นเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ ความร่วมมือไทย-จีน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และเส้นทางสายไหมทางทะเล ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือด้านอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ จากการพูดคุย คุณหญิงสุดารัตน์ให้ความเชื่อมั่นว่าพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8 พรรค ตั้งเป้าหมายในการสร้างบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ โดยยึดหลักการของสหประชาชาติ มุ่งเน้นสันติภาพถาวร และประโยชน์จากทำเลที่ตั้งเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของโลก โดยหลังจากเริ่มต้นโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เมื่อปี 2556 มี 149 ประเทศ และ 32 องค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วม ส่งผลให้ปริมาณการค้าระหว่างจีนและประเทศบนเส้นทาง BRI มีมูลค่าสะสมถึง 11 ล้านล้านดอลลาร์ มีการลงทุนโดยตรงกว่า 161.3 พันล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ จีนถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยกว่าทศวรรษ โดยในปี 2565 มีมูลค่าการค้า 105,404.29 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.53 แม้จะอยู่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็ตาม ในขณะที่การค้าระหว่างอาเซียน-จีนในปี 2564 มีมูลค่ากว่า 660,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.04

ที่มา : https://www.naewna.com/politic/736440

“THG” อัดงบ 170 ล้านบาท รุกลงทุนธุรกิจคลินิกในเวียดนาม

นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ และ Ms.Nguyen Thi Mai และ คุณวรศักดิ์ มานิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทมิตรไมตรีการแพทย์ จำกัด ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงการพัฒนาคลินิกสุขภาพในเวียดนาม ด้วยมูลค่ากว่า 170 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการลูกค้าที่มีฐานะสูงในเวียดนาม ตลอดจนมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าที่มีความสนใจในการดูแลสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัย ทั้งนี้ นพ. ธนาธิป ศุภประดิษฐ์. ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (THG) กล่าวว่ากลุ่มลูกค้าเวียดนามที่มีกำลังซื้อสูง เล็งมองหาการให้บริการทางการแพทย์โดยหมอไทย และเวียดนามยังเป็นตลาดการแพทย์ที่มีแนวโน้มสดใส พร้อมกับเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บริษัท THG คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากโครงการดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ 20% โดยมีระยะเวลาคืนทุน 4.5 ปี

ที่มา : https://www.bangkokpost.com/business/2588951/thg-invests-in-vietnam-clinic

“จีน” ชื่นชมสินค้าเกษตรเวียดนาม แต่ซื้อเพียงเล็กน้อย

นายเจิ่น แทงห์ นาม รมช.เกษตรและพัฒนาชนบท กล่าวกับสื่อท้องถิ่นเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ว่าด้วยจำนวนประชากร 1.41 พันล้านคน และรายได้เฉลี่ย 13,800 เหรียญสหรัฐในปี 2565 ส่งผลให้จีนเป็นตลาดสินค้าเกษตรรายใหญ่ รัฐบาลและองค์กรต่างๆ ของเวียดนามและจีน ร่วมมือเป็นคู่ค้าสำคัญทางด้านภูมิศาสตร์ โดยมีปัจจัยบวกหลายประการ อาทิเช่น ระยะเวลาในการขนส่งที่ต่ำ ต้นทุนต่ำและรูปแบบการขนส่งที่หลากหลาย เป็นต้น โดยเฉพาะอาหารทะเล ผลไม้ งานไม้และเนื้อไก่ของเวียดนามเป็นที่ต้องการอย่างมากของตลาดจีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความต้องการผลผลิตทางการเกษตรสูงจากทั้งสองประเทศ แต่ว่าในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานตามแนวชายแดนที่มีมากเกินไป จำเป็นที่ต้องหันมามุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนด ประกอบกับความร่วมมือทางการค้าของทั้งสองประเทศยังคงไม่มีเสถียรภาพ ผู้ค้าส่วนใหญ่เพียงแค่ทำธุรกรรมเท่านั้น และขาดความต่อเนื่องในการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากปัญหาการขาดข้อมูล

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/china-praises-vietnam-s-farm-produce-but-makes-modest-purchases-2152940.html