ตลาดจิ้งหรีดกัมพูชายังคงเติบโตในระดับต่ำ แม้ตลาดจะมีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

Lundy Chou ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ บริษัท Agri House Co., Ltd. กล่าวว่า ปัจจุบันผู้คนในกัมพูชา รวมถึงภาคการลงทุน ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญในอุตสาหกรรมการแปรรูปจิ้งหรีด โดยเดิมทีจิ้งหรีดมักถูกบริโภคในหมู่ผู้คนกัมพูชามาโดยตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วแมลงชนิดนี้ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถนำมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างโปรตีน โดยบริษัทคาดว่าอุตสาหกรรมจิ้งหรีดในปัจจุบันมีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ด้าน Nhourk Pearum เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงจิ้งหรีด มองเห็นถึงความท้าทายหลักของอุตสาหกรรมจิ้งหรีด โดยเฉพาะด้านราคาภายในประเทศ รวมถึงกฎเกณฑ์การผลิตและการแปรรูปในตลาดโลกที่ค่อนข้างเข้มงวด สำหรับสถานการณ์ในตลาดโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับผงคริกเก็ต (จิ้งหรีด) ซึ่งถือเป็นโปรตีนทางเลือกที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวกว่าร้อยละ 30 ต่อปี ในอีกห้าปีข้างหน้า เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกขยายตัวต่อเนื่อง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501443951/kingdoms-multi-million-dollar-market-for-crickets-lies-low/

คาด GDP กัมพูชาปีนี้พุ่งแตะ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์

คาด GDP กัมพูชาปีนี้ อาจเพิ่มขึ้นไปแตะมูลค่ารวม 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ รายงานโดยกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (MEF) นอกจากนี้คาดว่า GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,071 ดอลลาร์ ภายในปี 2024 เทียบกับมูลค่า 1,917 ดอลลาร์ ในปี 2023 ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 6.6 ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.1 ในปีนี้ อันเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้าง ด้าน Phan Phalla รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเสริมว่า ภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เครื่องนุ่งห่มในระบบเศรษฐกิจกำลังเติบโตได้ดี รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะที่การเพิ่มขึ้นของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในกัมพูชาเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน นำมาโดยนักลงทุนจากประเทศจีน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501443985/cambodias-gdp-likely-to-touch-35b-this-year-ministry-says/

ภาคเอกชน ขอ ธปท.ดูอัตราดอกเบี้ย ชี้ไทยสูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียน

นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่อยู่ระดับ 2.5% ซึ่งสูงในรอบ 10 ปี ว่า อยากเสนอแนะต่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แบงก์ชาติ ให้พิจารณาอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่าอยู่ในอัตราที่สูง และยังไม่มีกลไกกำกับดูแลว่า ควรจะอยู่ที่อัตราเท่าไหร่ หากเปรียบเทียบตัวเลขระหว่างเงินกู้ไทยเทียบกับประเทศอาเซียน ปรากฎว่า อัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยสูงกว่ามาก ดังนั้น อาจต้องพิจารณาระดับที่เหมาะสม

ที่มา : https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/388225

‘IMF’ ชี้แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนาม ขยายตัวสูง

นายเปาโล เมดาส หัวหน้าฝ่ายการคลังของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประจำประเทศเวียดนาม ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ‘Dau Tu’ บอกถึงข้อสังเกตของทิศทางเศรษฐกิจในปีนี้ว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถส่งเสริมการบริโภคและการผลิต ขณะที่เร่งการเบิกจ่ายจากงบประมาณการลงทุนภาครัฐได้อีกด้วย และแนวโน้มชองเศรษฐกิจเวียดนามจะฟื้นตัวได้ดี

ทั้งนี้ ธนาคารกลางควบคุมอัตราเงินเฟ้อของประเทศและบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยไม่สูญเสียทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ อย่างไรก็ดีในปัจจุบันยังไม่เห็นช่องทางในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง

นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัว 5.8% ในปี 2567 เนื่องมาจากได้แรงหนุนจากการส่งออก แต่สิ่งสำคัญที่เวียดนามต้องเร่งแก้ไขอย่างรวดเร็ว คือ ภาคอสังหาฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อตลาดตราสารหนี้ขององค์กร

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-likely-to-maintain-high-economic-growth-in-medium-term-imf-expert-2251714.html

‘วินฟาสต์’ เตรียมตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอินเดีย

วินฟาสต์ (VinFast) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของเวียดนาม เตรียมดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจรในเมืองทุติโคริน รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย โดยจากการลงทุนในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างวินฟาสต์และรัฐทมิฬนาฑู ได้มีส่วนสำคัญในการผลักดันเส้นทางการขนส่งที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของอินเดียและภูมิภาค ทั้งนี้ พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในวันที่ 6 ม.ค. ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งไปที่การก่อสร้างโรงงาน EV ในเฟสแรกกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของบริษัทที่จะขยายกิจการไปยังทั่วโลกและทิศทางของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร จะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นประมาณ 3,000-3,500 ตำแหน่ง ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการในอินเดีย แต่ยังรองรับในการส่งออกไปยังเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vinfast-to-break-ground-on-integrated-electric-vehicle-facility-in-india-post1078214.vov

สถิติการลาออกจากโรงเรียนของเด็กในแขวงบ่อแก้วมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ

มีเด็กมากกว่า 5,000 คนในแขวงบ่อแก้ว ลาออกจากโรงเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย ในช่วงปีการศึกษา 2566-2567 ตามรายงานของกรมการศึกษาและการกีฬาประจำแขวงบ่อแก้ว โดยระบุว่าอัตราการลาออกจากโรงเรียนกลางคันที่น่าตกใจนี้ เกิดจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงระยะห่างของโรงเรียนจากบ้านเด็ก การไม่มีหอพักนักเรียน ปัญหาทางการเงินที่หลายครอบครัวต้องเผชิญ ส่งผลให้เด็กๆ ต้องหางานทำ และความเชื่อที่ว่าการศึกษาต่อไม่มีคุณค่า ซึ่งได้ขัดขวางไม่ให้เด็กจำนวนมากก้าวเข้าสู่การศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาของลาวระบุว่า ในปี 2566 มีเด็ก 2,772 คน ยุติการศึกษาก่อนกำหนดในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย และในปี 2567 มีเด็กที่ต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคันอีก 3,009 คน รวมเป็นเด็ก 5,781 คน นอกจากนี้ การขาดแคลนครูก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเขตเมืองและชนบทของประเทศ ส่งผลให้สมาชิกรัฐสภาจำนวนมากเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อรับมือความท้าทายเหล่านี้

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/02/20/bokeo-province-sheds-lights-on-student-drop-out-trend/

สปป.ลาว แสดงวิสัยทัศน์บนเวทีสหประชาชาติในฐานะประธานอาเซียน

เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวร สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียนประจำสหประชาชาติ ได้กล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติ โดยเน้นย้ำให้ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในการจัดการกับความท้าทายระดับโลก ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และส่งเสริมการเจรจาระหว่างประเทศ ในฐานะภูมิภาคอาเซียนยึดมั่นในหลักการพหุภาคี อาเซียนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการประชุมสมัชชาใหญ่ที่ได้รับการฟื้นฟู ซึ่งสะท้อนถึงภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป และรับประกันว่าเสียงของทุกชาติจะถูกรับฟัง

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_38_Asean_y24.php

ความต้องการกาแฟที่ปลูกในท้องถิ่นของเมียนมาเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ตามการระบุของ ผู้ปลูกกาแฟ ระบุว่าทั้งอุปสงค์และอุปทานของกาแฟทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ตลาดพืชผลเพิ่มขึ้น ซึ่งในพม่ามีการปลูกกาแฟอาราบิก้าเป็นหลัก ซึ่งกาแฟเมียนมาได้รับความนิยมทั้งในตลาดท้องถิ่นและต่างประเทศตั้งแต่ปี 2562 ตามข้อมูลของผู้ปลูกและผู้ผลิตกาแฟ อย่างไรก็ดี ในตลาดส่งออก ความต้องการจากเวียดนามอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งจากการวิจัย พบว่าความต้องการจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไร่กาแฟได้รับการสนับสนุนระดับรัฐ ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นทำให้ภาคกาแฟมีการพัฒนาค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ในเมียนมามีกาแฟหลายประเภทที่ผลิตจาก Ywangan และ Myeik ซึ่งราคากาแฟอาราบิก้าอยู่ที่ 28,000 จ๊าดต่อกิโลกรัม และกาแฟอาราบิก้าได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดต่างประเทศ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmars-locally-grown-coffee-demand-rises-in-both-local-and-foreign-markets/

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าคงที่และยอดขายรถยนต์ใช้น้ำมันในตลาดรถยนต์ชะลอตัว

U Min Min Maung ประธานสมาคมผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เขตย่างกุ้ง ระบุว่า ในตลาดรถยนต์ของเมียนมา รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขายได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยอดขายรถใช้น้ำมันยังซบเซา ทั้งนี้เนื่องจากมีการออกใบอนุญาตเพิ่มเติมให้กับบริษัทต่างๆ ที่ขายรถยนต์ไฟฟ้า โดยตลาดรถยนต์ที่ซบเซาในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 กลับมามีความเคลื่อนไหวอีกครั้งในช่วงปลายปี 2566 และกลับมาชะลอตัวอีกครั้งในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2567 อย่างไรก็ตาม ราคารถยนต์ที่นำเข้ามาประกอบในประเทศ ที่เป็นรถยนต์แบบพวงมาลัยซ้ายมูลค่าอยู่ที่ 100 ล้านจ๊าด มีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ในขณะที่รถยนต์แบบพวงมาลับซ้ายมูลค่า 100-200 ล้านจ๊าด ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ในขณะที่ราคารถยนต์ 400–500 ล้านจ๊าด ราคายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/steady-sales-of-electric-cars-and-slowing-sales-of-petrol-cars-in-automobile-market/

‘เศรษฐา’สั่งเพิ่มความคุ้มครอง-เยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติ สร้างเชื่อมั่น‘เมืองไทยปลอดภัย’

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งการให้ความสำคัญ นอกจากสนับสนุนการดึงดูดนักท่องเที่ยว ต้องเพิ่มการกำกับดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และเร่งยกระดับมาตรฐานการบริการจัดการ “เมืองไทยปลอดภัย” ผ่านโครงการ “ช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่บาดเจ็บและเสียชีวิต” มุ่งสร้างภาพลักษณ์ไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและปลอดภัยในสายตานักท่องเที่ยว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ต่อยอดการพัฒนาศักยภาพ และโอกาสอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้สร้างระบบ Thailand Traveller Safety (TTS) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในการลงทะเบียนออนไลน์ก่อนการเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อคัดกรองนักท่องเที่ยวที่มีสิทธิขอรับการช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้น โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สามารถเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบสิทธิได้ ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิขอรับการช่วยเหลือเยียวยาจะครอบคลุมเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยว และประสบเหตุที่ไม่ได้เกิดจากความประมาท เจตนากระทำผิดกฎหมาย หรือมีพฤติการณ์ที่เสี่ยงให้เกิดเหตุ

ที่มา : https://www.naewna.com/likesara/788696