สภาพแวดล้อมทางธุรกิจของกัมพูชามีความยืดหยุ่นมากขึ้นจากกรณีศึกษา

ดัชนีความยืดหยุ่นโลกในปี 2020 แสดงให้เห็นว่าอันดับของกัมพูชาขยับขึ้นจากปีที่แล้ว โดยในปีนี้กัมพูชาได้คะแนนรวม 28.9 คะแนน จาก 100 คะแนน โดยอยู่ในอันดับที่ 112 ของโลก ซึ่งปีที่แล้วกัมพูชาได้รับคะแนนอยู่ที่ 21.7 และติดอันดับ 114 จาก 130 ประเทศ จากการศึกษาในครั้งนี้ โดยการศึกษาดังกล่าวดำเนินการโดย FM Global บริษัท ประกันภัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา (US) ซึ่งการศึกษานี้วัดความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของประเทศโดยพิจารณาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงและห่วงโซ่อุปทาน 12 ประการ โดยการศึกษานี้อาจเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าเศรษฐกิจและธุรกิจของกัมพูชาจะผ่านวิกฤต COVID-19 ไปได้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Kevin Ingram รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ FM Global มองว่าความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้คน ประเทศและธุรกิจ การจัดอันดับประเทศในดัชนี 2020 Global Resilience Index เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ดีว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในแต่ละประเทศ แต่ละภาคธุรกิจจะเป็นอย่างไรและองค์กรมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วเพียงใดหลังจากที่เกิดการระเบิดทางเศรษฐกิจของ Covid-19

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50737968/business-environment-becoming-more-resilient-study/

ส่งออกกุ้งเวียดนามไปยังแคนาดา โต 32%

สมาคมผู้ส่งออกและผู้ผลิตอาหารทะเลของเวียดนาม (VASEP) ระบุว่าตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงครึ่งปีแรกของเดือนพ.ค. ยอดส่งออกกุ้งของเวียดนามไปยังแคนาดา เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 เป็นมูลค่า 54.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในเดือนม.ค. การส่งออกกุ้งของเวียดนามไปยังแคนาดา เผชิญกับภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกในเดือนที่ผ่านมา มีการเติบโตในอัตราเลขสองหลัก (Double-Digit Growth) ทั้งนี้ แคนาดาเป็นผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ของเวียดนาม อยู่ในอันดับที่ 6 ของตลาดต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.7 ของยอดส่งออกทั้งหมด ในขณะที่ ช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ยอดส่งออกกุ้งของเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.2 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็นมูลค่า 49.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ศูนย์กลางการค้าโลก (World Trade Center) ชี้ว่าในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ เวียดนามนำเข้ากุ้งลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว รองลงมาอินเดีย เวียดนาม ไทย จีนและเอกวาดอร์ ตามลำดับ สำหรับราคาเฉลี่ยส่งออกกุ้งของเวียดนาม มีราคาสูงสุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดแคนาดา

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/vietnams-shrimp-exports-to-canada-surge-32-21651.html

เวียดนามเผย 5 เดือนแรก ยอดส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์โต

กรมศุลกากรเวียดนาม (GDC) เปิดเผยว่าเดือนพ.ค. ยอดส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลดลง แต่ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ กลับเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่แล้ว การส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปยังต่างประเทศ ลดลงร้อยละ 3.7 ในแง่ปริมาณ และร้อยละ 9.7 ในแง่มูลค่า ด้วยปริมาณ 42,821 ตัน และมูลค่า 263.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ในขณะที่ ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกสินค้าดังกล่าว เพิ่มขึ้นทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่า ร้อยละ 17.1 และร้อยละ 1.4 ตามลำดับ ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าเม็ดมะม่วงหิมพานต์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37 ของยอดส่งออกทั้งหมด รองลงมาสหภาพยุโรป ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ร้านอาหารและโรงแรมในสหรัฐฯและยุโรปนำเข้าเม็ดมะม่วงหิมพานต์แปรรูปลดลง

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/cashew-nut-exports-grow-in-first-five-months/177379.vnp

เมียนมานำเข้าลูกไก่มากกว่า 19 ล้านตัวเพื่อลดปัญหาขาดแคลนสัตว์ปีกในประเทศ

สำนักงานอุตสาหกรรมปศุสัตว์แห่งมัณฑะเลย์เผยรัฐบาลอนุญาตให้เกษตรกรนำเข้าลูกไก่มากกว่า 19 ล้านตัวเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนสัตว์ปีกที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19 นับตั้งแต่เดือนที่ผ่านมาการผลิตไก่ลดลงมากถึง 40% ราคาขายส่งไก่เพิ่มขึ้นเป็น 5,000-5,500 จัต (4 ดอลล่าร์สหรัฐ) และราคาขายปลีกอยู่ที่ 8,000-10,000 จัต ทำให้ราคาไก่ในฟาร์มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดังนั้นรัฐบาลจึงอนุญาตให้นำเข้าไก่จำนวน 19.2 ล้านตัวตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกรกฎาคม ส่วนเครื่องเพาะพันธุ์ไก่มีกำลังการผลิตเพียงพอ แต่สามารถอนุญาตให้นำเข้าได้เนื่องจากการขาดแคลนอุปทาน คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติในเดือนกรกฎาคม และราคาไก่เริ่มลดลงเรื่อย ๆ โดยราคาสูงสุดจะอยู่ที่ 5,500 จัต ต่อ 1.63 กิโลกรัมและตอนนี้อยู่ที่ 4,400 จัต ผู้ผลิตสัตว์ปีกได้หันมามาทำห้องเย็นที่ทันสมัยและปรับปรุงพันธุ์จากโรงงานเพื่อรับมือกับความท้าทายจากจำนวนคู่แข่งต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในภาคนี้

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-imports-over-19-million-chicks-ease-poultry-shortage.html

เมียนมาขาดดุลงบประมาณปี 2563-2564 ประมาณ 6.8 ล้านล้านจัต

ประธานาธิบดีอู วิน หมินท์ คาดเมียนมาจะขาดดุลงบประมาณที่ 6.8 ล้านล้านจัตในปีงบประมาณ 2563-2564 หรือ 5.4% ของ GDP  มีรายได้ประชาชาติรวม 27.8 ล้านล้านจัตในปีงบประมาณ 2563-2564 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นถึง -34.6 ล้านล้านจัต ค่าใช้จ่ายจะรวมถึงการใช้จ่ายเพื่อการฟื้นฟูผลกระทบจาก COVID-19 และการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงด้านศึกษาการ สุขภาพ โครงสร้างพื้นฐาน และการเกษตร การใช้จ่ายด้านประกันสังคมและสวัสดิการเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาในขณะที่โครงการสำหรับคนพิการก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ในปีงบประมาณนี้รายได้จากภาษีคาดจะลดลง แต่รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่วนกองทุนฉุกเฉินที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้วมียอดรวม 100 พันล้านจัต เพิ่มเป็น 150 พันล้านจัต ในปี 2563-2564 ขณะเดียวกันการจัดสรรงบการใช้จ่ายสำหรับรัฐและภูมิภาคนั้นเพิ่มขึ้นจาก 267 พันล้านจัต เป็น 2.3 ล้านล้านจัต การขาดดุลคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.4% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2563-2564 เมื่อเทียบกับ 5.9% ในปีงบประมาณปัจจุบัน 2562-2563 คาดว่าจะมีรายได้รวม 25.3 ล้านล้านจัตและมีค่าใช้จ่ายรวม 32.3 ล้านล้านจัตทำให้ขาดดุล 7 ล้านล้านจัต

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/budget-deficit-fiscal-2020-21-myanmar-k68-trillion.html

รัฐบาลสปป.ลาวปรับเป้าหมายการเติบโตของ GDP

รัฐบาลได้ขอให้รัฐสภาอนุมัติการตัดสินใจที่จะลดเป้าหมายจีดีพีในปี 63 ให้เป้าหมายการเติบโตของจีดีพี ลดลงจาก 6.5% เหลือ 3.3-3.6% เนื่องจาก Covid-19  และยังขอลดการจัดเก็บรายได้และเป้าหมายการใช้จ่ายจาก 28,997 พันล้านกีบเป็น 22,725 พันล้านกีบและจาก 35,693 พันล้านกีบเป็น 33,043 พันล้านกีบตามลำดับ ในส่วนของค่าใช้จ่ายเสนอให้ลดงบประมาณลง 30% สำหรับองค์กรระดับกลางและลด 10% สำหรับองค์กรท้องถิ่น ยังแนะนำให้เลื่อนการชำระงบประมาณการลงทุนภาครัฐอย่างน้อย 50% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ขออนุมัติการเพิ่มขึ้นของการขาดดุลงบประมาณจาก 3.77% ของ GDP เป็น 5.87% ซึ่งจะเพิ่มจาก 6,696 พันล้านเป็น 10,318 พันล้านกีบ ทั้งนี้ยังได้แนะนำมาตรการที่รัฐบาลวางแผนที่จะดำเนินการในอีก 6 เดือนข้างหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการตามแผนการจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมการเติบโตของปริมาณเงินและสินเชื่อด้อยคุณภาพ สร้างเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน มาตรการอื่นๆรวมถึงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การส่งเสริมการลงทุนในและต่างประเทศ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้รัฐวิสาหกิจ พัฒนาทักษะของแรงงานและบรรเทาความยากจนในพื้นที่ห่างไกลของประเทศ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt121.php

ชายแดนสปป.ลาว – กัมพูชายังคงปิดทำการต่อไป

สปป.ลาวได้ตัดสินใจปิดด่านชายแดนลาว – ​​กัมพูชา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของ Covid-19 ผู้ว่าราชการจังหวัดสตรึงเตรง Mr.Mom Saroeun อ้างใน Khmer Times “ถึงแม้สถานการณ์ของเราจะเริ่มดีขึ้นแต่ก็ยังมีความเสี่ยงกับมาระบาดอีกครั้งทำให้รัฐบาลของเรายังคงปิดด่านชายแดนต่อไปรวมถึงสปป.ลาวที่สถานการณ์ของการระบาด COVID-19 ดีขึ้นมากแล้วก็ตาม”การปิดด่านชายแดนสร้างความเสียหาย ทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยวแก่ทั้ง 2 ประเทศถึงแม้ด้านการค้าและด้านการท่องเที่ยวกัมพูชาจะไม่ได้เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของสปป.ลาว แต่หากด่านยังคงปิดต่อไปในสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศทั่วโลกยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาด Covid-19 การที่สปป.ลาวจะหันให้ความสนใจกับประเทศเพื่อนอย่างอย่างไทยหรือในกลุ่ม CLMV จึงเป็นสิ่งสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน

ที่มา : https://laotiantimes.com/2020/06/24/laos-cambodia-border-to-remain-closed/

การพัฒนาพลังงานสะอาดภายในประเทศกัมพูชากับความท้าทาย

โดยมีเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์อีกร้อยละ 12 ภายในสิ้นปีนี้และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งกัมพูชากำลังเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาพลังงานสะอาดตามรายงานของกองทุนเพื่อการลงทุนด้านภูมิอากาศ (CIF) และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) จากรายงานเรื่อง “การเปลี่ยนผ่านสู่เส้นทางการพัฒนาพลังงานสะอาดของกัมพูชา” ออกมาในเดือนนี้ โดยวัตถุประสงค์ของรัฐบาลสอดคล้องกับคำแนะนำในด้านการสร้างแหล่งพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้นตามคำแนะนำของ CIF และ ADB ซึ่งจากรายงานกล่าวถึงปัญหาในด้านของความโปร่งใส ความเสี่ยง ราคาและบทบาทของภาคเอกชน ที่ถือเป็นความท้าทายสำหรับการกำหนดสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ สำหรับภาคเอกชนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนต่างประเทศกัมพูชาได้นำเสนอตลาดพลังงานใหม่ โดยมีการจำกัดความสามารถในการดำเนินการประมูล ให้อยู่บนความโปร่งใสและเปิดกว้างในภูมิภาค ปัจจุบันสวนพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของกัมพูชาสามารถแข่งขันในด้านการประมูลราคาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 0.039 ดอลลาร์ / กิโลวัตต์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50737288/clean-energy-development-presents-challenges/

คาดอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในกัมพูชากำลังจะเติบโต

ภาคปศุสัตว์ในกัมพูชาคาดว่าจะเติบโตขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.1 ในปีนี้ โดยอัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.6 ในปี 2564 ตามรายงานล่าสุดจากรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามความคาดหวังของการเลี้ยงสัตว์เชิงพาณิชย์ขนาดเล็กและขนาดใหญ่โดยเฉพาะสุกรและไก่สด รวมถึงส่งผลให้คนในท้องถิ่นได้บริโภคเนื้อสัตว์ในราคาที่เหมาะสม โดยรัฐบาลมีการสนับสนุนและจะช่วยสร้างงานและสร้างรายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแรงงานกลุ่มที่อพยพกลับมายังประเทศรวมถึงแรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤตการณ์ COVID-19 ซึ่งประธานสมาคมผู้เลี้ยงปศุสัตว์กัมพูชากล่าวว่าสัตว์ปีกถือเป็นกลุ่มที่มีการศักยภาพมากที่สุด โดยสังเกตเห็นว่าไก่และเป็ดประมาณ 10,000-12,000 ตัว ถูกส่งไปยังตลาดในประเทศทุกวัน รวมถึงภายในประเทศมีปัญหาการขาดแคลนเนื้อหมูอยู่ประมาณ 300 ตันต่อวัน หรือคิดเป็นหมูสดประมาณ 3,000 ตัว ทำให้มองเห็นถึงโอกาสในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ภายในประเทศ และเพื่อการส่งออกในอนาคต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50737483/animal-husbandry-to-rise/

ครม.เห็นชอบไทยเข้าร่วมข้อตกลงสินค้าเกษตรอาเซียน

ครม. กำหนดกรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารของอาเซียน ลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) อำนวยความสะดวกทางการค้า รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารของอาเซียน ภายใต้รัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ตามที่กระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์เสนอ ซึ่งเป็นการกำหนดท่าทีของประเทศไทยที่จะไปตกลงในเรื่องดังกล่าว เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) อำนวยความสะดวกทางการค้าสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสาระสำคัญคือ 1.กำหนดหรือพิจารณามาตรฐานของอาเซียนด้านระบบการผลิตพืช ปศุสัตว์ และประมง ในระดับฟาร์ม และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องสำหรับใช้ในการตรวจสอบและรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารของประเทศสมาชิกอาเซียน 2.กำหนดขอบข่ายและเงื่อนไขในการยอมรับผลการตรวจสอบรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน 3.พัฒนากลไกการประสานงานของอาเซียนและการปฏิบัติตามความตกลงของประเทศสมาชิก โดยกำหนดกลไกในการดำเนินการให้การยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารของประเทศสมาชิกอาเซียนที่เป็นไปตามเงื่อนไขในการตกลงในการนำเข้าและส่งออกในภูมิภาค 4.ประเด็นอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติความตกลงนี้ เช่น การระงับข้อพิพาท ความโปร่งใส การเพิ่มบทบาทของอาเซียนและของประเทศสมาชิกอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรที่เป็นอาหาร การมีผลใช้บังคับ และการแก้ไขความตกลง รวมทั้งประเด็นอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อไทย

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/886351