แผ่นดินไหวแขวงไชยบุรีประมาณการความเสียหาย 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ

จากกรณีแผ่นดินไหวขนาด 6.4และ5.9 ริกเตอร์ในเขตหงสาและไชยะสถานสร้างความเสียแก่ครัวเรือน 134 ครัวเรือน รวมถึงหน่วยงานราชกาล โรงพยาบาล โรงเรียน วัดและเส้นทางสัญจรต่างๆ ก็ได้รับความเสียหายโดยมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านกีบในเขตหงสาและ 976 ล้านกีบในเขตไชยะสถานโดยกรมอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าการเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนี้เกิดขึ้นทั้งหมด 18 ครั้งทั่วสปป.ลาวแต่ที่รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทียนคือเขตหงสาและไชยะสถาน สถานการณ์ ณ ปัจจุบันอยู่ในช่วงฟื้นฟูบ้านเรือนและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการเกิดแผ่นดินไหวโดยเจ้าหน้าที่ในเขตแต่ละเขตให้การช่วยเหลือโดยเน้นไปในด้านการซ่อมแซมบ้านเรือนเป็นหลักในระยะนี้

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/xayaboury-earthquake-damage-estimated-around-us221000-109184

โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “Nam Che 1 hydropower project” เปิดอย่างเป็นทางการ

โครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำ “Nam Che 1” ได้เปิดอย่างเป็นทางการหลังจากเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2560 ในแขวงไชยสมบูรณ์เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท บี. กริมเพาเวอร์ (ลาว) จำกัดกับบริษัท น้ำแจ ไฮโดร พาวเวอร์ จำกัด เป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กโดยออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากแม่น้ำงิ้วและแม่น้ำโขง โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 15MW ซึ่งโรงงานได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลา 25 ปีเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับสปป.ลาวโดยถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าในสปป.ลาวและยังเป็นโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วยนอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของสปป.ลาวโดยเฉพาะในแขวงไชยสมบูรณ์ โดยโรงงานเปิดทำการเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 62 ถือเป็นก้าวที่สำคัญในด้านการพัฒนาพลังงานและเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคตของสปป.ลาว

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/nam-che-1-hydropower-plant-officially-opened-109186

เวียดนามเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่จัดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย

งานแสดงส่งเสริมสินค้าเวียดนามในนครเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย นับว่าเป็นงานแสดงสินค้าครั้งแรก ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยรองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม กล่าวเปิดงานการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านยุทธศาสตร์ระหว่างเวียดนาม-ออสเตรเลีย ในด้านความร่วมมือโอกาสเศรษฐกิจใหม่ ทั้งนี้ รองประธานคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ ระบุว่างานแสดงส่งเสริมสินค้าดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้ง 2 ประเทศ ได้ร่วมมือและเชื่อมโยงให้เป็นคู่ค้าที่สำคัญ นอกจากนี้ จากตัวเลขสถิติการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่ามูลค่าการค้าระหว่างเมืองนครโฮจิมินห์กับออสเตรเลีย อยู่ที่ 979 ล้านเหรียญสหรัฐ จำแนกออกเป็นมูลค่าการส่งออกไปยังออสเตรเลียอยู่ที่ 578.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และเครื่องจักร เป็นต้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/event-promoting-vietnamese-goods-held-in-australia/164485.vnp

ผู้ประกอบการเวียดนามลงทุนไปยังต่างประเทศ 460 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้

จากรายงานของหน่วยงานที่ดูแลการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในสังกัดกระทรวงวางแผนและการลงทุน (MPI) เปิดเผยว่าบริษัทเวียดนามลงทุนไปยังต่างประเทศ ด้วยมูลค่า 460 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการรวมทั้งสิ้น 177 โครงการ ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคการค้าปลีก-ค้าส่ง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26 ของทั้งหมด รองลงมาภาคการเกษตร ป่าไม้ประมง และวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตามลำดับ ทั้งนี้ บริษัทเวียดนามได้ลงทุนไปกว่า 31 ประเทศทั่วโลก เวียดนามได้ลงทุนไปยังประเทศออสเตรเลีย ด้วยมูลค่า 141.3 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่า 1 ใน 3 ของการลงทุนรวมไปยังต่างประเทศของเวียดนาม รองลงมาสหรัฐอเมริกา ส่วนจุดหมายหมายอื่นๆในการลงทุนของเวียดนาม ได้แก่ ประเทศสเปน กัมพูชา สิงคโปร์ และแคนาดา เป็นต้น

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnamese-firms-invest-460-million-usd-abroad-in-11-months-406805.vov

รัฐบาลเมียนมาใช้สนธิสัญญายุติการใช้แรงงานเด็ก

รัฐบาลกำลังขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเมียนมา (Pyidaungsu Hluttaw) เพื่อรับรองสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่บังคับให้หยุดการใช้แรงงานเด็ก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานตรวจคนเข้าเมืองและประชากรกล่าวกับที่ประชุมเมื่อวันอังคารเกี่ยวกับประเด็นสำคัญของอนุสัญญาว่าด้วยอายุขั้นต่ำ (138) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รวมถึงการยกเลิกการใช้แรงงานเด็ก ภายใต้อนุสัญญา 138 อายุขั้นต่ำของการทำงานคือ 15 ปี แต่ประเทศที่ยังไม่พัฒนาอย่างเมียนมาซึ่งสามารถลดอายุขั้นต่ำไว้ที่ 14 ปี

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/govt-seeks-adopt-treaty-ending-child-labour.html

มัณฑะเลย์ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่าครึ่งล้านคน

10 เดือนแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 500,000 คน มาเยือนมัณฑะเลย์ และคาดมีจำนวนถึง 600,000 คนในปีนี้ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้นจำเป็นต้องมีการขนส่งที่ดีขึ้นและลดขั้นตอนการขอวีซ่า เนื่องจากเดือนที่เหลือของปีนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวจำนวนอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเกือบ 400,000 คนตามด้วยชาวสเปน เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี อเมริกัน และอินเดีย สำหรับมาตรการผ่อนคลายวีซ่ามีผลบังคับใช้ไปเมื่อปีที่แล้วเพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น และมีแผนผ่อนคลายวีซ่าสำหรับชาวตะวันตกอีกด้วย ชาวยุโรปเริ่มให้ความสนใจในการมาเยือนมากขึ้นหลังจากที่เขตโบราณคดีพุกามในมัณฑะเลย์ได้รับยกระดับเป็นมรดกโลกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นแต่สำคัญคือต้องคำนึงถึงคุณภาพของนักท่องเที่ยวด้วย ดังนั้นมัณฑะเลย์จึงต้องการนักท่องเที่ยวที่เชื่อฟังกฎระเบียบและไม่ทำลายสภาพแวดล้อม

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/mandalay-attracts-over-half-million-tourists.html

การส่งออกมะม่วงไปเกาหลีใต้ได้รับการอนุมัติ

หลังจากการเจรจาเรื่องข้อกำหนดการส่งออกมาเป็นเวลานาน โดยการส่งออกมะม่วงในประเทศรอบแรกจะถึงเกาหลีใต้ก่อนสิ้นปีตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีใต้ ซึ่งการประชุมระหว่างกันในครั้งนี้ถูกจัดขึ้น ณ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเมืองปูซานของเกาหลีใต้ โดยได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านการเกษตร ซึ่งกัมพูชาสามารถเริ่มส่งออกมะม่วงอย่างเป็นทางการไปยังตลาดเกาหลีได้ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง Veng Sakhon อธิบายว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างประเทศในภาคเกษตรกรรมและขอความช่วยเหลือจากเกาหลีในการปรับปรุงภาคการเกษตรของกัมพูชาให้ทันสมัย ซึ่งผู้บริโภคชาวเกาหลีมีความคาดหวังเป็นอย่างมากสำหรับมะม่วงของกัมพูชา โดยประธานสมาคมกำปงสปือได้ชื่นชมการทำงานของรัฐบาลในการขยายตลาดสำหรับผู้ส่งออกมะม่วง ซึ่งกำปงสปือสามารถผลิตผลไม้ได้ 500,000 ถึง 700,000 ตันต่อปี ราคาต่อกิโลกรัมอยู่ในช่วงตั้งแต่ 0.50 เหรียญสหรัฐ ถึง 0.86 เหรียญสหรัฐ ขึ้นอยู่กับคุณภาพ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50664792/mango-exports-to-south-korea-given-greenlight/

การแข่งขันแรงงานและผู้รับเหมาก่อสร้างในกัมพูชาได้เริ่มต้นขึ้น

การแข่งขันผู้รับเหมาแห่งประเทศได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างทักษะของแรงงานก่อสร้างในกัมพูชาและผู้รับเหมา จัดขึ้นโดย SCG Cambodia ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเครือซิเมนต์ไทย โดยจัดงานร่วมกับกระทรวงแรงงานและการฝึกอบรมวิชาชีพกัมพูชา ซึ่งมีผู้รับเหมาที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้รับเหมากว่า 200 รายที่เข้าร่วมการแข่งขันประเภทต่างๆ เช่นการฉาบปูนซี การมุงหลังคาและการติดตั้งสมาร์ทบอร์ดและสมาร์ทวูด ซึ่งในพิธีเปิดงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้เข้ามาร่วมเปิดงานและกล่าวว่าการพัฒนาด้านเทคนิคและอาชีวศึกษาในประเทศต้องการการสนับสนุนจากภาคเอกชน โดยการแข่งขันจะพัฒนาทักษะของแรงงานชาวกัมพูชาและช่วยทำให้แรงงานบรรลุมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการฝึกอบรมทักษะการสร้างงานรวมถึงการเพิ่มผลิตผลและรายได้ ซึ่ง SCG ต้องการปรับปรุงฝีมือของผู้รับเหมาชาวกัมพูชารวมถึงคุณภาพงานก่อสร้างในประเทศกัมพูชา ที่ทำให้ผู้พัฒนาโครงการหรือบุคคลที่ต้องการสร้างบ้านสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้นซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวกัมพูชาจำนวนมาก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50664639/contractor-competition-kicks-off/

บจ.อ่วมผลงาน’ทรุด’พิษศก.-เงินบาทแข็ง

ตลท. เผยบริษัทจดทะเบียนรับผลกระทบรอบด้าน เศรษฐกิจชะลอ กระทบค่าเงิน ราคาปิโตรฯ การแข่งขันรุนแรงฉุดยอดขายทรุด หนี้พุ่ง กำไรงวด 9 เดือนลดลง 15% เฉพาะไตรมาส 2 ร่วงไปกว่า 18% โดยนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงาน ผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลักทรัพย์จดทะเบียนจำนวน 693 หลักทรัพย์ หรือคิดเป็น 97.1% จากทั้งหมด 714 หลักทรัพย์ นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2562  มียอดขายรวม 8,623,725 ล้านบาท ลดลง 1.3% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 660,734 ล้านบาท ลดลง 24.6% มีกำไรสุทธิ 645,647 ล้านบาท ลดลง 15.4% จาก ช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งหมวดธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี คือ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์  จากการขยายสินเชื่อส่วนบุคคล, หมวดอาหารและเครื่องดื่มจากกลุ่ม อาหารสด เครื่องดื่ม และการขยายตลาดไปกลุ่มประเทศ CLMV รวมถึง หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งยอดขายและกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน

ที่มา : นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 พ.ย. 2562

ไทย-ฮ่องกง เอ็มโอยูหุ้นส่วนศก.

รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ ผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จะเดินทางมาไทย เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-ฮ่องกง เป็นครั้งแรก กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 6 ฉบับ โดยฉบับแรกถือเป็นฉบับใหญ่ที่สุด เป็น กรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลที่มีเนื้อหาครอบคลุมความร่วมมือในการพัฒนาทุกด้าน ส่วนเอ็มโอยูที่เหลือจะเป็นกรอบการพัฒนาที่แยกออกเป็นด้าน ต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรม การเงิน และนวัตกรรม ทั้งนี้ในการหารือครั้งดังกล่าว ทั้ง 2 ประเทศจะร่วมกันพิจารณาแนวทางความร่วมมือระหว่างกันซึ่งต่อยอดมาจากการเดินทางไปเยือนฮ่องกงของนายสมคิด และคณะ เมื่อช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยในระหว่างการหารือครั้งนี้จะยกเนื้อหาที่ครอบคลุมทางด้านเศรษฐกิจหลายเรื่องมาหารือกัน เช่น การทำความตกลงการค้าไทยฮ่องกง การส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มสตาร์ทอัพ การร่วมมือทางด้านเทคโนโลยี การเชื่อมโยงด้านการเงินระหว่างกัน และการส่งเสริมเรื่องของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับการเชื่อมโยงทางด้านประเด็นทางการเมืองด้วย นอกจากนี้ยังมีคณะของ รมต.พาณิชย์และการพัฒนาเศรษฐกิจของฮ่องกง พาคณะนักธุรกิจฮ่องกงกว่า 50 คนมาเยือนไทย เพื่อมาศึกษาช่องทางการค้าและการลงทุน และวันที่ 28 พ.ย.นี้ จะมีงานสัมมนาใหญ่เพื่อชี้แจงข้อมูลการลงทุนด้วย.

ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 28 พ.ย. 2562