ตลาด ธนาคาร โรงพยาบาล รถประจำทาง ในเมียนมากลับมาเป็นปกติ

เจดีย์รวมถึง อาคาร ศานาสถานหรือวัดของศาสนาอื่น ๆ จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ตามมาตรการป้องกันโควิด -19 ผู้แสวงบุญและนักท่องเที่ยวรวมทั้งพระภิกษุและแม่ชี และศาสนาอื่น ๆ สามารถทำกิจกรรมทางศาสนาได้อย่างปกติ นอกจากนี้สวนสาธารณะและสนามเด็กเล่นในเนปยีดออย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และภูมิภาคหรือรัฐอื่น ๆ จะเปิดให้บริการอีกครั้ง รวมถึงตลาดเริ่มมีสีสันขึ้นเพราะมีทั้งผู้ซื้อและผู้ขายในขณะเดียวกันธนาคาร โรงพยาบาล สายการบิน รถไฟ เรือ และรถประจำทางก็กลับมาดำเนินการได้เป็นปกติเช่นกัน

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/markets-banks-hospitals-bus-lines-resume-normal-operations-people-peacefully-visit-pagodas/#article-title

สถาบันวิจัย คาดเศรษฐกิจเวียดนามโต 6.3% ปี 64

สถาบันวิจัยเศรษฐศาสตร์และนโยบายเวียดนาม (VEPR) ระบุว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว เนื่องจากการใช้วัคซีน COVID-19 แต่คงไม่แน่นอนอยู่ ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังไม่เสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกของปีนี้ เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวอยู่ที่ 4.48% เป็นผลมาจากการดำเนินการควบคุมเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นที่เข็มงวด ตลอดจนความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและเวียดนามและความตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างสหภาพยุโรป-เวียดนาม ซึ่งภายในปี 2564 คาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะยังขยายตัวประมาณ 6-6.3% นอกจากนี้ ทางสถาบันดังกล่าว แนะให้มุ่งเน้นความสำคัญไปที่นโยบายสวัสดิการสังคม รวมถึงเตรียมงบประมาณไว้ เพื่อรองรับกับการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 หรือสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงในอนาคต

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vepr-vietnamese-economy-could-grow-by-63-pct-in-2021/200628.vnp

เวียดนามคงเป็นจุดหมายปลายที่ปลอดภัยแก่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

จากการประชุม “Connections for Development Forum 2021” ณ กรุงฮานอย เมื่อวันที่ 26 เมษายน นายฝ่าม บิ่งห์ มิงห์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเวียดนามควรเตรียมรับมือกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศระลอกที่ 4 ที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก ท่ามกลางการแข่งขันการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้ ภาคการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะคงเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการพัฒนาของประเทศต่อไป โดยรัฐบาลมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับประเด็นที่มีผลต่อการดึงดูด FDI อีกทั้ง รองนายกฯ ยังเน้นน้ำว่ารัฐบาลจะมุ่งเน้นไปการแก้ไขปัญหาอยู่ 4 ประเด็นสำคัญ เพื่อเป็นแนวทางต่อการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้เพิ่มสูงขึ้นในอนาคตข้างหน้า ตลอดจนรักษาเสถียรภาพทางการเมืองให้มีความมั่งคง นอกจากนี้ รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกฎหมาย ยกระดับขีดความสามารถของหน่วยงานรัฐฯ เพื่อให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น

ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnam-remains-safe-destination-for-development-of-fdi-inflows-853072.vov

กัมพูชาและประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกร่วมส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตร

กัมพูชาและประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้จัดให้มีการประชุมเสมือนจริง เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรโดยเฉพาะเรื่องการประกันความมั่นคงด้านอาหารที่ยั่งยืนในภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับระบบอาหารประจำปี 2030 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา ภายใต้หัวข้อ “Building Back Better” ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรป่าไม้และประมงของกัมพูชาทำการเข้าร่วมประชุม โดยได้เน้นย้ำถึงความท้าทายบางประการในภาคการเกษตรของกัมพูชา รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรบางประเภทที่ตกต่ำและการไม่มีตลาดรองรับ ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ซึ่งรัฐมนตรียังคงทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตข้าวคุณภาพสูง ตลอดจนพืชสวนและพืชอุตสาหกรรม ผ่านการกระจายความหลากหลายทางการเกษตรอย่างทันท่วงที

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50844871/cambodia-asia-pacific-regional-countries-foster-agricultural-collaboration/

รัฐบาลกัมพูชายังคงกำหนดล็อกดาวน์กรุงพนมเปญต่อเนื่อง

ผู้ว่าการกรุงพนมเปญกล่าวในวันที่ 25 เมษายน ว่าการล็อกดาวน์ในเขตเมืองหลวงยังคงดำเนินต่อไปเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐยังคงบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไปในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งคำชี้แจงดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากผู้คนในเขตเมืองตาเขมา และเมืองกันดาล ของพนมเปญ กำลังสงสัยว่าพวกเขาจะกลับมาเดินทางได้ตามปกติแล้วหรือไม่ หลังจากวันนี้รัฐบาลได้ยกเลิกการห้ามเดินทางระหว่างกันและได้ทำการสั่งให้สามารถเปิดรีสอร์ทเพื่อการท่องเที่ยวได้ หลังจากที่ถูกสั่งให้ปิดกิจการชั่วคราวไปเมื่อการล็อกดาวน์รอบที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 14 เมษายน รัฐบาลได้ประกาศให้กรุงพนมเปญและเมืองตาเขมาเป็นเขตพื้นที่ล็อกดาวน์ กำหนดระยะเวลา 14 วัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนจนถึงวันที่ 28 เมษายน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50845141/phnom-penh-lockdown-remains-in-place-despite-govt-lifting-travel-ban/

นายกฯ สปป.ลาว – จีนจัดการเจรจาความสัมพันธ์ทวิภาคี

สปป.ลาวและจีนฉลองครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตและมิตรภาพลาว – ​​จีนในปี พ.ศ. 2564ในโอกาศนี้นายกรัฐมนตรีสปป.ลาวและจีนได้พูดคุยทางโทรศัพท์เพื่อทำงานร่วมกันในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีหกทศวรรษระหว่างสองประเทศ ทั้งสองมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสปป.ลาว – จีน ในด้านการค้า การลงทุนและด้านสาธารณะสุขที่เป็นด้านที่สำคัญที่ทางการจีนให้การช่วยเหลือสปป.ลาวมาโดยตลอด ในการพูดคุยพวกเขายังยกย่องความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือทวิภาคีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งรวมถึงทางด่วนที่เชื่อมระหว่างเวียงจันทน์ไปยังโบเตนในแขวงหลวงน้ำทาที่ติดชายแดนจีน ทั้งหมดนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของจีนและสปป.ลาวในการช่วยเหลือสนับสนุนเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Lao_chinese_78.php

คลังยังไม่มีแผนกู้เพิ่ม1ล้านล้าน มาดูแลโควิด

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เผยถึงกระแสข่าวกระทรวงการคลังเตรียมกู้ฉุกเฉินเยียวยาโควิดอีก 1 ล้านล้านบาทว่า ยังไม่ทราบนโยบายดังกล่าว แต่ปัจจุบัน พ.ร.ก.กู้เงิน1 ล้านล้าน สามารถใช้ได้จนถึง 30 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ยังต้องมีการหารือในคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังเพื่อขยายกรอบเพดานการก่อหนี้สาธารณะ เนื่องจากสัดส่วนหนี้สาธารณะของงบประมาณนี้ คาดอยู่ที่ประมาณ 57-58% ต่อจีดีพี แต่หากจะกู้เพิ่มขึ้นอาจสูงกว่ากรอบที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี อย่างไรก็ตาม หนี้สาธารณะที่ปรับสูงขึ้นป็นทิศทางเดียวกันกับประเทศอื่นทั่วโลก ซึ่งทุกประเทศได้ก่อหนี้เพื่อนำมาใช้จ่ายดูแลแก้ปัญหาโควิด

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/839321

ค้าชายแดนไทย-เมียนมา หยุดนำเข้ากาแฟสำเร็จรูปชั่วคราว

กระทรวงพาณิชย์เมียนมาห้ามนำเข้าสินค้าอาหารจำนวน 4 รายการชั่วคราวผ่านชายแดนเมียนมา – ไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 64 ได้แก่ เครื่องดื่มต่างๆ กาแฟและชาแฟสำเร็จรูป นมข้นและนมข้นจืด แต่สามารถนำเข้าผ่านทางเรือแทน ตั้งแต่วันที่1 ตุลาคมถึง 2 เมษายนของปีงบประมาณ 63-64 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาลดลง 370.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเมียนมามีการส่งออกสูงถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์และการนำเข้ามูลค่ากว่า 589.7 ล้านดอลลาร์ มูลค่าการค้ารวม 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งชายแดนเมียวดีมีผลการดำเนินการดีที่สุดจากจำนวนชายแดน 7 แห่ง โดยมีมูลค่าการค้า 729.46 ล้านดอลลาร์ ซึงในปีงบประมาณ 62-63 การค้าชายแดนเมียนมา- ไทยแตะระดับสูงสุดที่ 2.28 พันล้านดอลลาร์ อีกทั้งการส่งออกข้าวโพดไปยังไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากถึง 1.2 ล้านตัน ปัจจุบันมีการส่งออกประมาณ 5,000-6,000 ตันถูกส่งไปยังไทยทุกวันผ่านชายแดนเมียวดี ซึ่งเมียนมาได้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรภายใต้ e-Form D ในการส่งออกข้าวโพดระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ถึง 31 สิงหาคมซึ่งไทยเรียกเก็บภาษีร้อยละ 73 โดยเมียนมามีเป้าหมายส่งออกข้าวโพดไปยังไทย 1 ล้านตันในปีนี้

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/food-commodities-including-instant-coffee-temporarily-banned-on-myanmar-thailand-border/

ไทยพร้อมมีส่วนช่วยผลักดันให้การประชุมสุดยอดอาเซียนในวันที่ 24 เมษายน 2564 นี้ ประสบความสำเร็จ

วันนี้ (22 เมษายน 2564) เวลา 09.30 น. ณ ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทางโทรศัพท์กับ นายโจโก วิโดโด (H.E. Mr. Joko Widodo) โดยนายกรัฐมนตรีมีความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ในเมียนมาซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด และตระหนักดีว่าสถานการณ์ในเมียนมาเป็นประเด็นที่มีความท้าทายอย่างยิ่งต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทยมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศ จึงไม่สามารถเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ที่กรุงจาการ์ตาได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนพิเศษ (Special envoy) เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียชื่นชมบทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางด้านต่างประเทศ และความคิดเห็นของไทยส่งผลสำคัญในการผลักดันภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ เข้าใจดีถึงการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาเซียนจะมีส่วนช่วยให้สถานการณ์ในเมียนมาคลี่คลาย

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/govh/3217206

เวียดนายเผยครึ่งแรกของเดือนเม.ย. ขาดดุลการค้า 1.31 พันล้านเหรียญสหรัฐ

กรมศุลกากรเวียดนาม ระบุว่าในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายน เวียดนามมีมูลค่าการนำเข้าและการส่งออก ประมาณ 27 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งออกเป็นมูลค่าการส่งออกและการนำเข้าอยู่ที่ 12.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ 13.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ทั้งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว มีกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าเกินกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน 2.82 พันล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาเครื่องจักรและอะไหล่ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงวันที่ 15 เม.ย. การส่งออกรวมของเวียดนาม เพิ่มขึ้น 26.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็นมูลค่ากว่า 90 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่การนำเข้า เพิ่มขึ้น 29.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็นมูลค่าราว 89.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้เวียดนามยังคงเกินดุลการค้าราว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnam-posts-trade-deficit-of-us131-billion-in-first-half-of-april-852187.vov