พาณิชย์ เผยตลาดออนไลน์ออสซี่โต 10 % หลังโควิค -19

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แนะผู้ส่งออกวางแผนลุยตลาดออสเตรเลียรับ New Normal ชี้เจาะผ่านช่องทางออนไลน์ หลังเติบโตแรง คาดจะขยายตัว 20% ภายใน 12-18 เดือนข้างหน้าเผยสินค้าสุขภาพ อาหาร อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน มาแรง หลังจากเกิดวิกฤตโควิด-19 โดยพบว่าการค้าออนไลน์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 10% ของมูลค่าธุรกิจค้าปลีกทั้งหมด โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากไม่เกิดวิกฤติโควิด-19 อาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ซึ่งผู้ส่งออกไทยจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และวางแผนในการทำตลาดออสเตรเลียใหม่ โดยใช้ช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ของชาวออสเตรเลีย ทั้งนี้ นอกจากการขยายตัวของการค้าออนไลน์ ยังพบว่า รูปแบบการซื้อสินค้าได้เปลี่ยนเป็นการซื้อออนไลน์แบบไม่สัมผัสสินค้า (Contactless Shopping) หรือการเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์แล้วเลือกสถานที่ๆ จะรับสินค้า (Click and Collect) โดยการลดราคาสินค้า ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อ แต่ความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น และรูปแบบการค้าออนไลน์ ยังมีอิทธิพลครอบคลุมทั้งการค้าสินค้าและบริการ เช่น การให้บริการ Streaming Video การให้อาหารนกเพนกวินของ Sea Life Sydney Aquarium เป็นต้น สำหรับสินค้าไทยที่มีโอกาสในการเจาะเข้าสู่ตลาดออสเตรเลีย ได้แก่ สินค้าเพื่อสุขภาพ ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและสินค้าออร์แกนิค ตั้งแต่อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอาง และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อตลาดสัตว์เลี้ยงที่มีมากกว่า 28 ล้านตัว นอกจากนี้ ยังมีอาหารประเภท Ready to Eat และ Ready to Cook ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าการรับประทานอาหารในร้านอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภควัยทำงานที่มีมากกว่า 65% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ที่ต้องการความสะดวกในการพกพาและการรับประทาน และได้คุณประโยชน์ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์แบบ DIY เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ทำสวน และเครื่องออกกำลังกาย ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น จากการ Work From Home จึงใช้เวลาในการปรับปรุงและซ่อมแซมที่พักอาศัย และรัฐบาลยังจัดสรรงบประมาณในการช่วยเหลือประชาชนสำหรับซ่อมแซม ปรับปรุงบ้านพักอาศัย การสร้างบ้านใหม่ และการอนุมัติโครงการก่อสร้างพื้นฐาน ทำให้มีความต้องการอุปกรณ์ก่อสร้างและของตกแต่งบ้านเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ มาพร้อมกับความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจ ความพร้อมของผู้ประกอบธุรกิจไทยในการเรียนรู้และปรับตัว เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจในปัจจุบัน โดยตลาดออสเตรเลีย ไม่ใช่ตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่เป็นตลาดที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และมีกฎระเบียบการนำเข้าที่ค่อนข้างเข้มงวด ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเข้าสู่ตลาดที่ผู้ประกอบธุรกิจควรคำนึงถึง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้า และสร้างโอกาสในการส่งออกให้กับสินค้าไทย

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/889034?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

ไฟเขียวต่างชาติลงทุนไทย มิ.ย.63 จำนวน 22 ราย

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า เดือนมิ.ย.2563 คณะกรรมการฯ ได้อนุญาตให้คนต่างชาติ 22 ราย ประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน มีการนำเงินเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ 1,587 ล้านบาท ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนไทย 3,575 คน และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุน โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่วนใหญ่เป็นองค์ความรู้ในแขนงที่คนไทยยังไม่มีความชำนาญหรือมีความเชี่ยวชาญในระดับที่ไม่สูงมากนัก เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานในที่อับอากาศและการถ่ายเทสารเคมีในหอกลั่นสูงที่มีความกดอากาศตามมาตรฐานยุโรป องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องกำเนิดไอน้ำที่ใช้หลักการแลกเปลี่ยนความร้อน (HRSG system) องค์ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมเพื่อออกแบบและพัฒนาคุณภาพชิ้นส่วนยานยนต์ และโปรแกรมเพื่อการตรวจและทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ และองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงของสินทรัพย์ เป็นต้น สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาต ได้แก่ 1.ธุรกิจบริการโดยเป็นคู่สัญญากับเอกชน จำนวน 4 ราย โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น และจีน มีเงินลงทุนจำนวน 542 ล้านบาท 2.ธุรกิจบริการให้แก่บริษัทในเครือ/ในกลุ่ม จำนวน 6 ราย โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ มีเงินลงทุนจำนวน 632 ล้านบาท 3.ธุรกิจนายหน้า ค้าปลีก ค้าส่ง จำนวน 7 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ฟินแลนด์ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์  มีเงินลงทุนจำนวน 181 ล้านบาท  4.ธุรกิจบริการให้แก่ลูกค้า จำนวน 5 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศสวิส ซามัว อังกฤษ สิงคโปร์ และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน มีเงินลงทุนจำนวน 232 ล้านบาท ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/888887?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

พาณิชย์ เผย FTA ดันส่งออกมังคุดไทยช่วง 5 เดือนแรกขยายตัว 16%

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า จากการติดตามการส่งออก “มังคุด” พบว่าขยายตัว 16% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 และมีมูลค่าส่งออกถึง 290 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ยังอยู่ในช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ก็ตาม จีน อาเซียน และฮ่องกง เป็นตลาดส่งออกสำคัญ มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 99% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งไทยมีความตกลงเอฟทีเอ กับทั้ง 3 ประเทศปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทยมีทั้งหมด 14 ประเทศ ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้ามังคุดจากไทยแล้ว เหลือเพียง 4 ประเทศ ที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้า ได้แก่ เกาหลีใต้ (อัตราภาษีนำเข้า 24%) กัมพูชา มาเลเซีย และลาว (อัตราภาษีนำเข้า 5%) จึงถือเป็นโอกาสทองของผลไม้ไทยที่ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอ จะขยายการส่งออกผลไม้ต่างๆ ของไทยไปยังต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น ควบคู่กับการรักษามาตรฐานสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมทั้งสร้างเอกลักษณ์ด้วยการพัฒนาสร้างตราสินค้า เพื่อผลักดันให้ผลไม้ไทยครองใจผู้บริโภค”

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2020/25924

เวิลด์แบงก์ชี้จีดีพีไทยปี’63 หดตัวกว่า 5% คาดตกงานและสูญเสียรายได้จากโควิด-19 กว่า 8.3 ล้านคน

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า ยอมรับเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากโควิด-19 โดยเวิลด์แบงก์คาดการณ์อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลในประเทศ (GDP) ปีนี้อาจหดตัวกว่า 5% และน่าจะใช้เวลามากกว่า 2 ปีกว่า ที่จะกลับสู่ระดับจีดีพีก่อนที่จะประสบปัญหาโควิด-19 การส่งออกคาดหดตัวประมาณ 6.3% ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงรายไตรมาสที่แรงที่สุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากความต้องการสินค้าไทยในต่างประเทศยังคงอ่อนแอ จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะลดลง 3.2% เนื่องจากมาตรการห้ามการเดินทางและรายได้ที่ลดลง ซึ่งจำกัดการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยเฉพาะในไตรมาส 2/2563 ประกอบกับมีคนตกงานกระจายไปทั่ว และกระทบต่อครัวเรือนชนชั้นกลางไปถึงครัวเรือนที่ยากจน ภาคการท่องเที่ยวที่คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพีได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่ไทยเกือบจะห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563 “ประมาณการว่าไทยจะมีคนตกงานและสูญเสียรายได้จากโควิด-19 กว่า 8.3 ล้านคน ทำให้งานมากมายโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการมีความเสี่ยง ซึ่งจากรายงานยังพบอีกว่าจำนวนผู้ที่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือผู้ที่มีรายได้ต่อวันต่ำกว่า 5.5 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ) จะสูงขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัวจาก 4.7 ล้านคนในไตรมาสแรกเป็น 9.7 ล้านคนในไตรมาส 2/2563 โดยเฉพาะ สัดส่วนของคนที่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจในกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลางในภาคการผลิตและภาคบริการจะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว จาก 6% เป็น 20%”

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/economics/news_4412170

คณะที่ปรึกษาโควิดด้านศก. ชง”บิ๊กตู่”แก้ปัญหาว่างงาน

คณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจฯ จากโควิด เสนอ 3 ประเด็นให้นายกฯ ขับเคลื่อน ทั้งแก้ว่างงาน สื่อสารให้คนตระหนักหวั่นเกิดระบาดรอบสอง และฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แถลงภายหลังการประชุมคณะที่ปรึกษาฯ ว่า ได้สรุป 3 ประเด็นสำคัญเสนอ นายกรัฐมนตรี โดยเรื่องแรก เสนอให้เร่งแก้ปัญหาการว่างงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เนื่องจากการแพร่ระบาดของ โรคไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนจ้านวนมากต้องว่างงานและขาดรายได้ ดังนั้น การใช้จ่ายของภาครัฐโดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องทำโครงการที่สามารถสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้มีการจ้างงานระยะยาวภายในชุมชน การจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ รวมถึงการจัดอบรมความรู้ที่สามารถนำไปต่อยอดในการประกอบอาชีพได้ ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ได้ส่งเรื่องดังกล่าวกลับมายังสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) ในฐานะเป็นคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 400,000 ล้านบาท ให้พิจารณาโครงการที่ก่อให้เกิดการจ้างงานด้วย ประเด็นต่อมาได้ขอให้การสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงความเสี่ยงของการกลับมาระบาดรอบที่ 2 และจะต้องมีความร่วมมือที่จะจำกัดการระบาด รวมทั้งยังต้องรักษามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ส่วนประเด็นสุดท้ายรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม เพราะในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทยต้องหยุดชะงักลง…

 ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/782462

พิษโควิด จีดีพีดิ่ง! ว่างงานพุ่งรอบ 20 ปี

ทีดีอาร์ไอชี้ โควิด-19 พ่นพิษ อัตราว่างงานพุ่ง 8-12 เท่าสูงสุดในรอบ 20 ปี เหตุเศรษฐกิจหดตัวแรง และชะลอต่อเนื่อง 2-3 ปีข้าง เตรีบมทบทวนตัวเลขเพิ่ม หลังธปท.ปรับคาดการณ์จีดีพี เหลือติดลบ 8.1% จากเดิมติดลบ 5.3%  ด้านกสิกรไทยชี้ อัตราว่างงานค้างไม่ตํ่ากว่า1 ล้านคน ตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เศรษฐกิจไทยปีนี้ทั้งปี มีแนวโน้มจะติดลบถึง 8.1% จากที่คาดการณ์เดิมจะติดลบ 5.3% เหตุเพราะตัวเลขจากทีมเศรษฐกิจรัฐบาลได้ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 จะติดลบถึง 15.5% และจะติดลบน้อยลงเหลือ 10.2% ในไตรมาส 3 และเหลือติดลบ 5.5% ในไตรมาสสุดท้ายของปี ส่วนสถานการณ์ด้านแรงงานนั้น อัตราว่างงานจะเพิ่ม 3-4% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 1% ซึ่งค่อนข้างสูงมาก หากย้อนเทียบกับต้มยำกุ้ง ภาคเกษตรและการบริโภคภายในประเทศยังดี แต่วันนี้ตรงกันข้าม ซึ่งภาคการท่องเที่ยวยังน่าเป็นห่วง เพราะก่อนหน้าไทยสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนแต่หากนักท่องเที่ยวไม่กลับมาก็มีความเสี่ยงสูง

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/money_market/439975?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral

ไทยพยายามเรียกคืนแรงงานพม่ากลับเข้าประเทศ

ประเทศไทยกำลังเตรียมต้อนรับแรงงานอพยพชาวเมียนมาที่ออกประเทศภายหลังจากตกงานเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 สหพันธ์นายจ้างจัดหางานต่างประเทศเมียนมากล่าวว่ารัฐบาลไทย เมียนมาและบริษัทจัดหางานกำลังเจรจาเรื่องการดูแลสุขภาพสำหรับแรงงาน ภายใต้ข้อบังคับของไทยชาวต่างชาติต้องมีประกันสุขภาพอย่างน้อย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (K138.1 ล้านบาท) เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษา COVID-19 แรงงานต้องถูกกักกันเป็นเวลา 14 วันด้วยโดยแรงงานต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ถึงมีนาคม 2563 เมียนมาส่งออกแรงงานประมาณ 100,000 คนมายัง ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จากข้อมูลของรัฐบาล ณ วันที่ 21 มิถุนายน มีแรงงานกว่า 71,000 คนกลับจากไทย ชาวเมียนมากว่า 4 ล้านคนที่ทำงานในต่างประเทศโดยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย เมื่อปีที่แล้วมีแรงงานกว่า 305,000 คนออกจากประเทศเพื่อทำงานและมีแรงงานที่ทำงานในประเทศ 2.3 ล้านคน แรงงานเมียนมาส่งเงินกลับประเทศประมาณ 910 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 หรือคิดเป็นประมาณ 1.06% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/thailand-seeks-return-myanmar-workforce.html

ส่งออกสิ่งทอเครื่องนุ่งห่มและไลฟ์สไตล์ไทย 4 เดือนแรกปี’63 ร่วง 10%

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว การแข่งขันทางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ตลอดจนการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการค้าและการส่งออกของหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ทั้งนี้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (สะสม) ช่วง 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย. 2563) พบว่า การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 2,032.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปี 2562 มูลค่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มลดลง 10.7% โดยแยกเป็นการส่งออกกลุ่มสิ่งทอ มีมูลค่า 1,280.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 13.4% และ การส่งออกกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 752.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 5.8% ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จึงมีแนวคิดในการพลิกฟื้นการค้าและการส่งออกของประเทศโดยการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อรองรับธุรกิจตามวิถีใหม่ (New normal) สำหรับภาคธุรกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยนำร่องพัฒนา 30 ผลิตภัณฑ์ นำไปทดสอบตลาดคาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% หรือมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/economics/news_4326769

เวียดนามเผยราคาเนื้อหมูดิ่งลง หลังจากนำเข้าจำนวนมาก

ราคาเนื้อหมูในประเทศประสบปัญหาดิ่งลงฮวบในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (MARD) อนุญาตให้บริษัทสามารถนำเข้าสุกรมีชีวิตจากไทย ด้วยเหตุนี้ ราคาสุกรมีชีวิตในจังหวัดทางตอนเหนือชองประเทศปรับตัวลดลง ระหว่าง 88,000-93,000 ด่งต่อกิโลกรัม เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ขณะที่ ภาคกลางมีราคาผันผวนอยู่ที่ 84,000-91,000 ด่งต่อกิโลกรัม ซึ่งคาดว่าราคาจะยังคงลดลงต่อไปอีกในสัปดาห์หน้า เมื่อมีการนำเข้าสุกรจากไทยจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าว ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นมีความกังวลถึงการนำเข้าสุกรมีชีวิต เนื่องจากมีความเสี่ยงอีกครั้งของการแพร่ะระบาดโรคไข้หวัดสุกร ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการสำนักเกษตรและพัฒนาชนบท กล่าวว่ามีธุรกิจจำนวนหนึ่งได้ลงทะเบียนเพื่อสามารถนำเข้าสุกรมีชีวิต ซึ่งหนึ่งในกลุ่มดังกล่าว มีปริมาณการนำเข้าสุกรสูงถึง 100,000-200,000 ตัว นอกจากนี้ ราคาขายสุกรมีชีวิตยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าราคาจะอยู่ที่ราว 50,000 ด่งต่อกิโลกรัม

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/domestic-pork-prices-fall-as-pigs-imported-in-large-volume-414963.vov

การค้าระหว่างกัมพูชากับไทยมีมูลค่าสูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์ในรอบ 4 เดือน

การค้าระหว่างกัมพูชาและไทยมีมูลค่าสูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 18.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยกัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทย 2.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักร, สินค้าอิเล็คทรอนิคส์, เชื้อเพลิง, วัสดุก่อสร้าง, อาหาร, เครื่องสำอางและเครื่องใช้ในครัวเรือน ซึ่งกัมพูชาทำการส่งออกสินค้าไปยังไทยมูลค่า 687 ล้านดอลลาร์ จากการส่งออกสินค้าประเภทอัญมณีและผลิตผลจากฟาร์ม โดยทั้งสองประเทศกำลังมองหาการค้าทวิภาคีเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าให้ถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีนี้เทียบกับ 9.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 และ 8.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2561 จากข้อมูลในอดีต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50733994/cambodia-thailand-trade-hit-3-1-billion-in-four-months/