COVID-19 กระทบการส่งออกทองคำเมียนมา

สมาคมผู้ประกอบการทองคำแห่งภูมิภาคย่างกุ้ง (YGEA) เผย การส่งออกทองคำหยุดชะงักลงเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้มีการระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศ และไม่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการได้มีการเตรียมการส่งออกไว้แล้ว เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตและการติดเชื้อ COVID-19  ลดลงอย่างมาก ทำให้การระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.65 เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อคลายมาตรการการเข้าประเทศ คาดว่าตลาดส่งออกทองคำจะฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากนี้ การโอนเงินระหว่างประเทศในการซื้อขายทองคำที่มีมูลค่าต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้รับอนุญาตให้ใช้ระบบ Telegraph Transfer (TT) ทั้งนี้ตลาดส่งออกทองคำที่สำคัญของเมียนมาคือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/covid-19-impacts-stop-gold-exports/#article-title

มกอช. นำทีมคณะผู้แทนไทย เป็นเจ้าภาพประชุม EWG-OA เร่งปรับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ให้สอดคล้องกับ 10 ประเทศอาเซียน

นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า มกอช. พร้อมด้วย กรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้เข้าร่วมการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน (Expert Working Group for Organic Agriculture : EWG-OA) ครั้งที่ 6 ผ่านระบบทางไกลออนไลน์ ซึ่งในปีนี้สาธารณรัฐสิงคโปร์ทำหน้าที่เป็นประธาน โดยมีประเทศไทยทำหน้าที่รองประธาน และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โดยการประชุมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรในอาเซียนที่ยั่งยืนมีระบบการจัดการที่จะทำให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้บริโภค ลดการสูญเสีย และลดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการหารือประเด็นที่สำคัญ ประกอบไปด้วย 1. การปรับประสานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ ให้เทียบเท่ามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน (ASOA) 2. การปรับประสานระบบการตรวจสอบรับรองของประเทศสมาชิกเพื่อให้เกิดการยอมรับความเท่าเทียมของระบบของแต่ละประเทศ 3. การส่งเสริมการใช้มาตรฐาน ASOA และการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กเข้าสู่ตลาดที่มีมูลค่าสูงได้

 

ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9650000033951

เงินเฟ้อสปป.ลาวพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

อัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมากกว่าที่คาดการณ์ และเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 ในเดือนมีนาคมราคาในหมวดการสื่อสารและการขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 เมื่อเทียบเดือนที่แล้ว ราคาเชื้อเพลิงและก๊าซเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และยังมีราคาสินค้าในอีกหลายหมวดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุมาจากการระบาดของโควิด-19 ประกอบกับราคาน้ำมันที่ผันผวนทำให้ราคาสินค้าต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงในการผลิตหรือการขนส่งเพิ่มขึ้นและค่า kip ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทที่เพิ่มขึ้น เพราะสปป.ลาวยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและวัสดุเข้าเพื่อผลิต เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น

 

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Investment68.php

ADB ชี้ RCEP-FTA ผลักดันเศรษฐกิจกัมพูชา

Anthony Gill ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ประจำสาขากัมพูชา กล่าวว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และข้อตกลงการค้าเสรีระดับทวิภาคี (FTA) จะสร้างประโยชน์ให้กับกัมพูชาเป็นอย่างมากในระยะยาว โดยเฉพาะในด้านของการค้าและการลงทุนเป็นสำคัญ ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดการจ้างงานให้กับคนในท้องถิ่น และก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ภายในประเทศ โดย ADB ระบุว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 5.3 ในปี 2022 และเติบโตร้อยละ 6.5 ในปี 2023 อันเนื่องมาจากภาคการส่งออกสินค้า และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงสถานการณ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501054249/adb-says-rcep-bilateral-ftas-to-bring-great-benefits-to-cambodia/

การค้า กัมพูชา-ไทย ในช่วง 2 เดือนแรก แตะ 1.3 พันล้านดอลลาร์

การค้าระหว่างกัมพูชาและไทยในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทยมูลค่าอยู่ที่ 1.12 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามรายงานทางสถิติอย่างเป็นทางการของกระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย ซึ่งสินค้าส่งออกหลักของกัมพูชาไปยังประเทศไทย ได้แก่ สิ่งทอ สินค้าเกษตร อัญมณี วัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ในขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญจากไทย ได้แก่ ปลา เนื้อสัตว์ ผัก รถยนต์ ปุ๋ยอินทรีย์ อาหาร และวัสดุก่อสร้าง โดยทั้งสองประเทศตั้งเป้าหมายทางด้านการค้าทวิภาคีไว้ที่ 15 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2023

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501054340/cambodia-thailand-jan-feb-trade-tops-1-3-billion/

‘เวียดนาม’ ยกระดับเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์

หนังสือพิมพ์ Dau tu (Investment) จัดเสวนาหัวข้อ “Getting 5G Ready for Vietnam’s Digital Transformation” วันที่ 4 เม.ย. โดยผู้ให้บริการรายใหญ่ในวงการสื่อสาร อาทิ VinaPhone, MobiFone และ Viettel ประกาศเริ่มทดลองใช้บริการ 5G ในเมืองสำคัญ ได้แก่ เมืองฮานอยและโฮจิมินห์ และจะเร่งขยายไปยังเมืองอื่นๆ ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว ผู้ให้บริการทั้ง 3 รายดังกล่าว ได้นำเครือข่าย 5G ไปทดลองเชิงพาณิชย์ใน 16 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ เวียดนามตั้งเป้าที่จะพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมดิจิทัล โดยคาดว่าเครือข่าย 5G จะวางรากฐานในการเชื่อมโยงและพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ทำให้มูลค่าอุตสาหกรรมดิจิทัลเพิ่มขึ้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-to-boost-5g-commercialisation/224626.vnp

‘เวิลด์แบงก์’ ปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจเวียดนามปี 65 เหลือ 5.3%

ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดตัวรายงานอัพเดทด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ได้ปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจเวียดนามปีนี้อยู่ที่ 5.3% จากที่ประมาณการณ์ครั้งก่อนไว้ที่ 5.5% ในเดือนมกราคม เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงกำลังค่อยๆ ฟื้นตัว หลังจากที่รัฐบาลประกาศให้อยู่ร่วมกับโควิด-19 และเร่งการฉีดวัคซีน ทำให้กิจกรรมทางธุรกิจกลับมาดีขึ้น ในส่วนของภาคบริการคาดว่าจะฟื้นตัวตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว และการท่องเที่ยวต่างประเทศจะทยอยกลับมาฟื้นตัวในช่วงกลางปี นอกจากนี้ การส่งออกของภาคอุตสาหกรรมคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของตลาดส่งออกสำคัญที่มีแนวโน้มชะลอตัว ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรปและจีน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเวียดนามยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ประกอบกับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/wb-lowers-vietnam-s-2022-economic-growth-to-5-3-2005916.html

งบประมาณย่อย 64-65 เมียนมาส่งออกข้าวไปแล้วกว่า 1.4 ล้านตัน

จากข้อมูลของสหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) พบว่า เมียนมาส่งมอบข้าวและข้าวหักมากกว่า 1.4 ล้านตัน ไป 27 ประเทศ ในช่วงงบประมาณย่อย (ต.ค. 2564 ถึงมี.ค. 2565) ตลาดหลักของการส่งออกคือ จีน ตามด้วยเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สเปน ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ โดยราคาพันธุ์ข้าวขาวเกรดต่ำอยู่ที่ประมาณ 340-355 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทและคุณภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งราคาค่อนข้างต่ำกว่าไทยและเวียดนาม แต่ยังสูงกว่าราคาตลาดของอินเดียและปากีสถาน ปัจจุบันผู้ส่งออกได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลางเมียนมา (CBM) ซึ่งการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นผู้ค้าข้าวในเมียนมาที่จะต้องฝากเข้าบัญชีที่ธนาคารที่ได้รับอนุญาตและแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินท้องถิ่นที่เรตอ้างอิง คือ 1,850 จัตต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบัน ผู้ค้าต้องส่งออกข้าวทางทางทะเลแทนการค้าชายแดน เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้เมียนมามีรายได้กว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกข้าวในปีงบประมาณ 2562-2563 จากการส่งออกข้าว 2.5 ล้านตัน ส่วนในปีงบประมาณ 2563-2564 มีรายได้กว่า 700.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกข้าวและข้าวหัก 1.87 ล้านตัน

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/7-april-2022/#article-title

การลงทุน การส่งออกสินค้าเกษตรที่แข็งแกร่งจะผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจสปป.ลาว

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) คาดการณ์เศรษฐกิจสปป.ลาวจะเติบโตร้ยละ 3.4 ในปีนี้และร้อยละ 3.7 ในปี 2566 เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวในตลาดภายในประเทศ รวมทั้งการท่องเที่ยว ในเดือนมกราคมรัฐบาล ได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดและเร่งการฉีดวัคซีน โดยเป้าหมายเพื่อให้ประชากรร้อยละ 80 ได้รับวัคซีนครบสมบูรณ์ภายในสิ้นปี 2565 ด้านการส่งออกภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรมีส่วนทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในปีที่แล้ว จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำหลายแห่งสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเพิ่มการผลิตพลังงานเพื่อการส่งออก การส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นในทุกหมวด ส่วนหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการจากประเทศจีน ทั้งนี้การเติบโตของการส่งออกมีแนวโน้มดำเนินต่อไปในปีนี้และปีหน้าจากการลงทุนที่คาดการณ์ไว้เพื่อรองรับการพัฒนาพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และไฟฟ้าคาร์บอนต่ำอื่นๆ ในปี 2564 เศรษฐกิจของสปป.ลาวจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากผลประกอบการที่แย่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แต่ไวรัสสายพันธุ์ใหม่และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้โมเมนตัมของเศรษฐกิจในระเทศแย่ลง รัฐบาลจะต้องระมัดระวังตัวโดยให้วัคซีนแก่คนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และส่งเสริมความโปร่งใสในการจัดการการเงินสาธารณะ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดและดึงดูดการลงทุนที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Investment68.php

กัมพูชาส่งออกข้าวมูลค่า 413 ล้านดอลลาร์ ในช่วง Q1/2022

ไตรมาส 1 ปี 2022 กัมพูชาส่งออกข้าวสารปริมาณมากกว่า 170,000 ตัน และข้าวเปลือกอีกกว่า 1.3 ล้านตัน ไปยัง 49 ประเทศ โดยการส่งออกไปยังจีนและฮ่องกงคิดเป็นกว่าร้อยละ 52 ของการส่งออกทั้งหมด หรือคิดเป็น 88,646 ตัน มูลค่ารวมกว่า 45.19 ล้านดอลลาร์ รองลงมาคือประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปซึ่งคิดเป็นร้อยละ 31 หรือคิดเป็น 52,222 ตัน ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 35.95 ล้านดอลลาร์ และกัมพูชาได้ทำการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนเพียงร้อยละ 10 ของการส่งออกทั้งหมด หรือคิดเป็นปริมาณเพียง 17,310 ตัน มูลค่ารวม 10.64 ล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากตลาดดังกล่าวกัมพูชายังได้ส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าวไปยังประเทศแอฟริกา โอเชียเนีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศอื่นๆ ในขณะที่การส่งออกข้าวเปลือกของกัมพูชาประเทศเวียดนามถือเป็นตลาดสำคัญ โดยมีการส่งออกไปจำนวน 1.39 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 313 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501053884/more-than-413-million-earned-through-rice-exports-prior-to-end-of-q1/