AEON เปิดห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ในกัมพูชา

Aeon Mall (Cambodia) Co., Ltd. และ Aeon (Cambodia) Co., Ltd. จ่อเปิดตัวห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่แห่งที่สามในนาม “Aeon Mall Meanchey” ในวันที่ 15 ธันวาคม ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 290 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ ห่างจากใจกลางกรุงพนมเปญประมาณ 8 กิโลเมตร โดยห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีพื้นขนาดประมาณ 174,000 ตารางเมตร 4 ชั้น จอดรถได้มากกว่า 3,200 คัน และมอเตอร์ไซค์ 1,850 คัน ซึ่งคาดว่าจะจ้างพนักงานประมาณ 5,000 คน ในการให้บริการในห้างสรรพสินค้า โดยห้างสรรพสินค้าแห่งนี้นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อการช็อปปิ้งแล้ว ยังมีสวนสาธารณะกลางแจ้งในห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในประเทศอีกด้วย ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้คาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาใช้บริการได้ ภายใต้แนวคิดการผสมผสานเทรนด์การใช้ชีวิตในปัจจุบันเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501197611/new-290m-luxury-aeon-mall-meanchey-to-open-next-week/

นายกฯ ปลื้ม 10 เดือนส่งออกข้าวโต มั่นใจถึงเป้า 7.5 ล้านตัน สั่งคุมคุณภาพข้าวไทย

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่ได้ทราบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า การส่งออกข้าวไทยช่วง 10 เดือนของปี ตั้งแต่ ม.ค.- ต.ค. 2565 มีปริมาณเพิ่มขึ้น 33% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 32.4 % เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2564 ในขณะที่การส่งออกเดือน ต.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก.ย. ที่ผ่านมา มีปริมาณและมูลค่าส่งออก เพิ่มขึ้น 24.7% และ 20.5% ตามลำดับ ซึ่งมีการส่งออกข้าวขาวมากกว่า 4 แสนตัน คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 44% ส่วนใหญ่ส่งไป อิรัก จีน ญี่ปุ่น แองโกล่า โมซัมบิก แคเมอรูน และส่งออกข้าวนึ่งเพิ่มขึ้น 21% ไปตลาดหลักในแอฟริกา เช่น เบนิน แอฟริกาใต้ บังคลาเทศ เยเมน แคเมอรูน ไนเจอร์ นายอนุชา กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์การส่งออกข้าวไทย ที่ปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกปี 2565 จากเดิมกำหนดไว้ 7 ล้านตัน เป็น 7.5 ล้านตัน โดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่าในเดือน พ.ย.นี้ การส่งออกข้าวจะอยู่ที่ระดับประมาณ 7.5-8 แสนตัน เนื่องจากผู้ส่งออกยังมีสัญญาที่ค้างส่งมอบจากเดือนก่อน ประกอบกับตลาดที่สำคัญยังคงมีความต้องการนำเข้าข้าว เพื่อใช้ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ปีใหม่ และตรุษจีนในช่วงปลายเดือนมกราคม 2566

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/politics/news_7404068

สรท.คาดส่งออกไทย ปี 2566 ขยายตัว 3% ไร้แรงหนุน

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท. คาดการณ์การส่งออกรวมปี 2565 ขยายตัวที่ 7-8% หรือมีมูลค่า 290,000-293,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ การส่งออกปี 2566 ขยายตัวที่ 2-3% หรือมีมูลค่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้การส่งออกขยายตัวได้ คือ จีนผ่อนคลายโควิด-19 สินค่าการส่งออกที่ยังเติบโต การส่งออกอาหาร สินค้าเกษตร เป็นต้น

ที่มา : https://www.prachachat.net/economy/news-1140385

‘แบงก์ชาติเวียดนาม’ ประกาศเพิ่มวงเงินขยายตัวของสินเชื่อ

เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2565 ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ประกาศเพิ่มเพดานการขยายตัวของสินเชื่อในปีนี้ขึ้นอีก 1.5-2% ด้วยแรงกดดันเงินเฟ้อของเวียดนาม ก่อนหน้านี้ทางธนาคารกลางจะไม่จำกัดการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 14% และในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางได้ให้โควต้าสำหรับธนาคารบางแห่ง โดยการตัดสินใจในครั้งนี้ของธนาคารกลางที่ทำการปรับเพิ่มเพดานการขยายตัวของสินเชื่อ เนื่องจากปัจจัยภายนอกกระทบต่อเศรษฐกิจลดลง ในขณะที่สภาพคล่องของระบบธนาคารมีทิศทางที่ดีขึ้น

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/central-bank-revises-up-credit-growth-limit/

‘LG’ วางเป้าทุ่มเงิน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเวียดนาม

Kwon Bong-Seok ซีอีโอของบริษัท LG Electronics เปิดเผยว่าบริษัทได้วางแผนที่จะอัดฉีดเงินเพิ่มไปยังโครงการของกิจการ อยู่ที่ราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเร็วๆนี้ บริษัทได้เริ่มที่จะลงทุนในเวียดนามเมื่อปี 2538 และจนถึงปัจจุบัน เงินทุนของกิจการที่ขยายการดำเนินธุรกิจ อยู่ที่ 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ กล้อง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ในครัวเรือนและชิ้นส่วนยานยนต์ โดยปัจจุบันบริษัทมีพนักงานชาวเวียดนามประมาณ 27,000 คนที่ทำงานในโรงงานของบริษัท นอกจากนี้ นายเหงียนซวนฟุก ประธานาธิบดีเวียดนาม กล่าวชื่นชมกับการลงทุนของบริษัทในเวียดนาม และหวังว่าบริษัทจะขยายการลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์และโทรศัพท์มือถือ ในขณะเดียวกันให้มีการส่งเสริมความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาซอฟต์แวร์

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/lg-plans-to-pour-further-us4-billion-into-vietnam-post988692.vov

8 เดือนแรกของปี 65 ค้าชายแดนเมียวดีของเมียนมามีมูลค่ารวม 1.456 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กระทรวงพาณิชย์เมียนมา เผย มูลค่าการค้าชายแดนเมียวดีระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 25 พฤศจิกายน 2565 แตะ 1.456 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงอย่างมากถึง 148.545 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เพราะการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมืองในพื้นที่ชายแดนส่งผลให้การส่งออกไปไทยลดลงอย่างมาก โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ สินค้าเกษตร (พริก หัวหอม ผงข้าว ขมิ้น ดอกลิลลี่แห้ง เมล็ดกาแฟ ถั่วเขียว ยาง อบเชย เปลือกถั่วแมคคาเดเมีย ลูกพลัม  และถั่วลิสง) สินค้าประมง (ปลากะตัก หอยกาบ ปลาตะลุมพุกฮิลซาปู กุ้ง และปลาอื่น ๆ) และสินค้าอุตสาหกรรมสำเร็จรูปประเภทตัดเย็บและบรรจุภัณฑ์ (เสื้อกันหนาวบุรุษ เสื้อเชิ้ตสตรี และเสื้อผ้าอื่น ๆ) ซึ่งความต้องการของไทยสำหรับของใช้และวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารในครัวเรือนจากเมียนมาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหารและธุรกิจอาหาร เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myawady-border-trade-totals-1-456-billion-in-about-eight-months/

เมียนมาส่งออกถั่วทะลุ 1 ล้านตันในช่วง 8 เดือนของปี 65

จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เมียนมา  8 เดือนของปีงบประมาณ 2565-2566 (เดือนเมษายน-เดือนพฤษจิกายน 2565) เมียนมาส่งออกถั่วและถั่วพัลส์มากกว่า 1.05 ล้านตัน เป็นการส่งออกทางทะเล 897,499 ตันผ่านเส้นทางทะเล และทางบก153,311 ตัน จากข้อมูลของสมาคมพ่อค้าถั่ว ถั่วพัลส์ และงาของเมียนมา พบว่า การส่งออกถั่วและงาของประเทศนั้นสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกและสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยในปีงบประมาณ 2563-2564 เมียนมาส่งออกถั่วและถั่วพัลส์มากกว่า 249,245 ตัน มูลค่า 217 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถั่วเป็นพืชที่มีการเพาะปลูกมากเป็นอันดับ 2 ของเมียนมา รองจากข้าว และคิดเป็นร้อยละ 33 ของผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมดของประเทศ ทั้งนี้ตลาดส่งออกหลัก คือ จีน อินเดีย และประเทศในแถบยุโรป

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-brings-in-over-826-mln-from-pulses-exports-in-eight-months/

ปริมาณการค้าระหว่าง กัมพูชา-ไทย โต 29%

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 8,589 ล้านดอลลาร์ในช่วง 10 เดือนของปี เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นการส่งออกของกัมพูชามูลค่า 959 ล้านดอลลาร์ไปยังไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะเดียวกันการนำเข้าสินค้าของกัมพูชาจากไทยคิดเป็นมูลค่า 7,630 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 ตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์ไทย ซึ่งสินค้าส่งออกหลักของกัมพูชาไปยังไทย ได้แก่ สิ่งทอ สินค้าเกษตร อัญมณี และผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป เป็นสำคัญ ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญจากไทย ได้แก่ ปลา เนื้อสัตว์ ผัก รถยนต์ ปุ๋ยอินทรีย์ อาหาร และวัสดุก่อสร้าง โดยในปีที่แล้วการค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 7.97 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.26 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501196940/cambodia-thailand-trade-surges-29/

กัมพูชาเล็งส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารไปยังสหรัฐฯ

สหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการส่งออกของกัมพูชา โดยคิดเป็นร้อยละ 43 ของการส่งออกทั้งหมดของกัมพูชาในช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมของปีนี้ ซึ่งในปี 2021 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากกัมพูชามีมูลค่าสูงถึง 8.7 พันล้านดอลลาร์ สินค้าส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องแต่งกาย รองเท้า และสินค้าเพื่อการเดินทาง โดยปัจจุบันกัมพูชามีความพยายามเป็นอย่างมากในการผลักดันการส่งออกผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารเพื่อเป็นการกระตุ้นภาคการส่งออกของประเทศ ซึ่งคาดว่าในอนาคตการส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวจะเร่งขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะไม่กี่ปี ผ่านการสนับสนุนจากกระทรวงสำคัญๆ ของรัฐบาล ได้แก่ กระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง (MEF), กระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ (MAFF), กระทรวงพาณิชย์ (MOC) สหรัฐอเมริกา, กรมวิชาการเกษตร สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกัมพูชา, หอการค้าอเมริกันในกัมพูชา (AmCham) และวิสาหกิจเขมร

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501196186/cambodia-eyes-food-product-export-to-us/

นครวัดกัมพูชากลับมาครึกครื้นอีกครั้งในรอบ 11 เดือน

ทางการรายงานว่าอุทยานโบราณคดีอังกอร์ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 225,191 คน ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 9 ล้านดอลลาร์ จากการจำหน่ายตั๋วเข้าชมอุทยานฯ โดยในเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียวมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังอุทยานฯ กว่า 55,842 คน สร้างรายได้ถึง 2.25 ล้านดอลลาร์ ซึ่งอุทยานโบราณคดีนครวัดตั้งอยู่ในจังหวัดเสียมราฐทางตะวันตกเฉียงเหนือ บนพื้นที่ 401 ตารางกิโลเมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี 1992 ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดอุทยานฯ ได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 2.2 ล้านคน ในปี 2019 สร้างรายได้กว่า 99 ล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501195645/life-returns-to-cambodias-famed-angkor-recording-over-225000-international-tourists-in-11-months/