“เฟด” ขึ้นดอกเบี้ย แบงก์ชาติเวียดนามส่งสัญญาอัตราแลกเปลี่ยน

เมื่อตั้งแต่ต้นปี 2565 ตลาดการเงินระหว่างประเทศเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ตลอดจนราคาเชื้อเพลิง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก ในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลมาจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 28 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คุณ Pham Chi Quang รองผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารกลางเวียดนาม กล่าวว่าธนาคารกลางจะปฏิบัติตามนโยบายที่ยืดหยุ่น เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดโลกและลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนและดูแลเสียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้ง เมื่อต้นปี 2565 ธนาคารกลางได้ขายสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อแทรกแซงตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเพิ่มอุปทาน ในขณะเดียวกันก็รักษาสภาพคล่องของเงินดองเวียดนาม ซึ่งจะช่วยให้สกุลเงินดองมีเสถียรภาพ

 

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/us-fed-raises-interest-rates-sbv-gives-message-about-exchange-rate-2032548.html

เดือนพ.ค. 65 เมียนมาส่งออกข้าวโพด 254,930 ตัน สร้างรายได้กว่า 79.58 ล้านดอลลาร์ฯ เข้าประเทศ

กระทรวงพาณิชย์เมียนมา เผย เดือนพ.ค.2565 เมียนมาส่งออกข้าวโพดมากกว่า 254,930 ตัน ผ่านทางทะเลและชายแดน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 79.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปฟิลิปปินส์ ไทย และบังคลาเทศ โดยส่งออกไปไทยจำนวน 215,974 ตัน และจีน 695 ตัน ผ่านการค้าชายแดน เพิ่มขึ้น 191,180 ตัน (มูลค่า 59.632 ล้านดอลลาร์) เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย. 2565 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ปีการผลิต 2564-2565 (ต.ค.2564-ก.ย.2565) สมาคมอุตสาหกรรมข้าวโพดของเมียนมา ตั้งเป้าส่งออกข้าวโพดประมาณ 2 ล้านตัน

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/myanmar-ships-79-58-mln-worth-of-254930-tonne-corn-to-foreign-markets-in-may/#article-title

 

EA ลุยผลิตรถบรรทุก EV โรงงานแบตเตอรี่เพิ่มกาลังผลิต 4 Gwh/ปี

บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จากัด (มหาชน) ความพยายามทาให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหรือ (ฮับอีวี) ถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งภาครัฐตื่นตัวค่อนข้างมากและต่อเนื่องและภาคเอกชนเริ่มเข้ามาในธุรกิจอีวี ซึ่งกระแสโลกผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวเร็วขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ซึ่งเป็นตัวแปรและตัวเร่งทาให้ทุกคนมุ่งสู่ Zero Emission ในส่วน EA ธุรกิจเป็นสินค้าสีเขียว Green Product ทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องไปกับเทรนด์ของโลก ไล่ตั้งแต่โรงผลิตไบโอดีเซล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และดาเนินการระบบนิเวศน์ (EV Ecosystem) ปลายปีที่แล้ว สาหรับโปรดักต์ของ EA ได้แก่ รถบัสไฟฟ้า เรือไฟฟ้า ส่วนรถบรรทุกไฟฟ้า EV กาลังจะออกสู่ ตลาด ตอนนี้อยู่ระหว่างพูดคุยพาร์ทเนอร์ และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า สาหรับโรงงานประกอบรถบัสไฟฟ้า EV เฟสแรกนั้นรองรับกาลังผลิต 8,000 คันต่อปี โดยเมื่อปีที่แล้วได้ส่งมอบรถบัสไฟฟ้า 120 คัน และเป้าหมายปีนี้จะส่งมอบอีกประมาณ 1,200-1,500 คัน โดยมีพันธมิตรที่ให้บริการรถเมล์ในกรุงเทพ ตามแผนภายในสิ้นปีหน้า คาดว่ากรุงเทพฯจะมีรถเมล์หรือรถโดยสารสาธารณะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV เกือบทั้งหมด หากเป็นไปตามแผน สามารถพิสูจน์ให้คนเชื่อในศักยภาพซัพพลายเชนในไทย ที่แข็งแรงสามารถจับมือกันออกไปทาตลาดต่างประเทศ อาเซียน โดยอาศัยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) นาเทคโนโลยีต่อยอดธุรกิจเพื่อดึงเงินเข้าประเทศบ้างจากที่เคยเป็นผู้ซื้อมา 30-40 ปี

ที่มา: https://www.thansettakij.com/motor/530060

รัฐบาลจะให้สินเชื่อซื้อน้ามันเพื่อเชื่อเหลือผู้ประกอบการน้ำมัน

รัฐบาลจะจัดหา Letter of Credit ให้แก่ผู้นาเข้าน้ามันเชื้อเพลิงมูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อซื้อน้ามันที่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ จานวนนี้สามารถซื้อเชื้อเพลิงได้ 200 ล้านลิตรซึ่งจะครอบคลุมความต้องการในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่ 100 ล้านลิตรต่อเดือน รัฐบาลจะยังคงให้สกุลเงินต่างประเทศแก่ผู้นาเข้าต่อไปในช่วงที่เหลือของปีเพื่อจัดหาเชื้อเพลิงให้เพียงพอ รัฐบาลได้ให้สินเชื่อแม้ว่าจะมีทุนสารองเงินตราต่างประเทศจากัด มูลค่าที่ลดลงของ kip ได้เพิ่มภาระให้กับผู้นาเข้าที่พยายามหาแหล่งเงินตราต่างประเทศที่เพียงพอเพื่อซื้อเชื้อเพลิงที่จาเป็นมาก ซึ่งต้องนาเข้าทั้งหมด ในระยะยาวรัฐบาลจะพิจารณาวิธีส่งเสริมการลงทุนในโรงกลั่นน้ามันในประเทศลาว ซึ่งสามารถกลั่นน้ามันดิบได้เพื่อให้มั่นใจถึงความมั่นคงของเชื้อเพลิง ปัจจุบันไม่มีโรงงานดังกล่าวเปิดดาเนินการในประเทศ

ที่มา: https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/ FreeConten2022_Govtto120.php

บริษัทขนส่งเร่งเจรจาขอจีนขยายเส้นทางเดินรถไฟเชื่อมมายังกัมพูชา

บริษัทขนส่งในกัมพูชากว่า 30 แห่ง ร่วมกับสมาชิกของสมาคมโลจิสติกส์กัมพูชา เร่งเจรจาค้นหาความเป็นไปได้สำหรับการให้บริการด้านการขนส่งทางรถไฟความเร็วสูงระหว่างจีนและกัมพูชา ที่เชื่อมต่อไปยัง สปป.ลาว และไทย โดยมีคณะผู้แทนจากเวียดนาม ไทย และ สปป.ลาว เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงระหว่างจีน เวียดนาม สปป.ลาว ไทย และกัมพูชา ในหัวข้อใน ASEAN Trans-Rail Link ซึ่งถือเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับภาคการขนส่ง เพราะหากโครงการเกิดขึ้นจริงจะช่วยเสริมการอำนวยความสะดวกในการขนส่ง โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าจากกัมพูชาไปยังจีน ในขณะที่ปัจจุบันการขนส่งทางน้ำระหว่างกัมพูชาและจีน ใช้เวลาระหว่าง 10 ถึง 15 วัน ในขณะที่รถไฟปัจจุบันของกัมพูชาวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดจำกัดอยู่ที่เพียง 30 กม. ต่อชั่วโมง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501099313/logistics-firms-seek-china-cambodia-train-connection/

NBC คาดการณ์เศรษฐกิจกัมพูชาปีนี้ โตร้อยละ 5

ธนาคารกลางกัมพูชา (NBC) คาดเศรษฐกิจปีนี้จะโตราวๆ ร้อยละ 5 โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกสินค้าเกษตร การขนส่ง โทรคมนาคม และกระแสการลงทุนที่ดีขึ้น ในแง่ของการค้าและการลงทุน ประเทศคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคี และการออกกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ ในขณะที่ยังคงต้องคอยติดตามสถานการณ์สงครามระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ไปจนถึงการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดย NBC กล่าวเพิ่มว่าในปีที่แล้วการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาอยู่ที่ร้อยละ 3 หลังจากหดตัวร้อยละ 3.1 ในปี 2020

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501099597/nbc-projects-5-percent-economic-growth-this-year/

“เวียดนาม” ตั้งเป้าคงหนี้สาธารณะต่ำกว่า 60% ของ GDP ปี 2573

คุณ Anh Tuấn รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเวียดนาม กล่าวว่ากลยุทธ์ในการบริหารหนี้สาธารณะในวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของปี 2564-2573 ซึ่งภายใต้กลยุทธ์ข้างต้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต้องไม่เกิน 60%, สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล ต้องไม่เกิน 50%, สัดส่วนหนี้ที่เป็นเงินต่างต่างประเทศทั้งหมด ต้องไม่เกิน 45% และการชำระหนี้คืน ต้องไม่เกิน 25% ของเงินงบประมาณทั้งหมด อีกทั้งได้ตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวเฉลี่ย 7% ต่อปี มีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 7,500 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 และขาดดุลงบประมาณราว 3% ของ GDP ทั้งนี้ ตามตัวเลขทางสถิติของกระทรวง แสดงให้เห็นถึงหนี้สาธารณะชะลอตัวจาก 18.1% ต่อปี ในปี 2554-2558 มาอยู่ที่ 6.7% ในปี 2559-2560 โดยโครงสร้างหนี้สาธารณะได้รับการปรับปรุงที่ยั่งยืน

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1252224/keeping-public-debt-below-60-per-cent-of-gdp-by-2030-targeted.html

“ธุรกิจเวียดนาม” ยืนหยัดท่ามกลางความปั่นป่วนเศรษฐกิจรัสเซีย

มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจรัสเซียเกิดการสั่นครอน แต่ว่าโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งหนึ่งอย่าง “Ruviteks” มอสโก ประเทศรัสเซีย เจ้าของคนเวียดนาม คุณ Phan Manh Hùng กล่าวกับสำนักข่าวเวียดนามว่าก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ามีแรงงานมากกว่า 100 คน แต่ปัจจุบันมีจำนวนแรงงานราว 40 คน อย่างไรก็ดีภาพรวมของกิจการยังอยู่ในระดับเสถียรภาพและสามารถจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานได้ ถึงแม้ว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในรัสเซียจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศและได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ทำให้องค์กรข้ามปัญหาอุปสรรคได้คือ การรักษาเสียรภาพการผลิต คำนึงผลประโยชน์ของแรงงานและการจัดหาสินค้าเข้าสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1252225/vietnamese-enterprises-stay-firm-in-face-of-economic-turmoil-in-russia.html

ราคาถั่วแระมีแนวโน้มลดลงสวนทางกับราคาถั่วดำที่ราคาพุ่งขึ้น

ราคาถั่วแระและถั่วดำในตลาดย่างกุ้ง เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมาราคาถั่วดำ อยู่ที่ 1,610,000 จัตต่อตันขณะที่ถั่วแระอยู่ที่ 1,410,000 จัตต่อตัน ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2565 ราคาถั่วดำพุ่งขึ้นเป็น 1,615,000 จัตต่อตันในขณะถั่วแระราคาลดลง 1,391,000 จัตต่อตัน ทำให้ราคาถั่วดำเพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาถั่วแระที่ลดลง ซึ่งถั่วทั้ง 2 ชนิดส่วนใหญ่ส่งออกไปยังอินเดีย ในช่วงฤดูมรสุมของปี 2565 อินเดียได้หันปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลผลิตสูงแทนพืชตระกูลถั่ว เช่น อ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้ผู้ค้าถั่วชาวเมียนมา คาดว่าฤดูมรสุมนี้ผลผลิตถั่วของเมียนมาจะลดลง 5- 15% จะส่งผลให้ราคาถั่วแระเพิ่มสูงขึ้น

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/pigeon-pea-price-gets-downward-trends-than-black-grams/#article-title

รัฐบาลพยายามรักษาพื้นที่การเกษตร 4.5 ล้านเฮกตาร์เพื่อผลผลิตในอนาคต

กระทรวงเกษตรกำลังร่างพระราชกฤษฎีกาที่มุ่งห้ามการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและชลประทานในการก่อสร้างเชิงพาณิชย์ เพื่อรักษาพื้นที่ 4.5 ล้านเฮกตาร์สำหรับการผลิตทางการเกษตรในช่วง 30 ปีข้างหน้า ดร.เพชร พรมพิภัค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ กล่าวกับสมาชิก NA ในสัปดาห์นี้ว่าการเกษตรอยู่ภายใต้การคุกคามจากโครงการพัฒนา และมีการใช้ที่ดินเพื่อการก่อสร้างมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ กระทรวงจึงกำลังร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อสงวนพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกพืช เพื่อปกป้องยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านอาหารของรัฐบาล และช่วยให้มีการผลิตทางการเกษตรที่ยั่งยืน กระทรวงหวังที่จะจัดสรรพื้นที่ปลูกข้าว 2 ล้านเฮกตาร์ โดยมีพื้นที่ว่างในปัจจุบันอยู่ที่ 700,000 เฮกตาร์ และอีก 1 ล้านเฮกตาร์สำหรับการเพาะปลูกพืชอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีการปลูกข้าว 700,000 เฮกตาร์ นอกจากนี้ กระทรวงยังต้องการให้มีที่ดิน 700,000 เฮกตาร์สำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์ โดยปัจจุบันใช้พื้นที่เพียง 100,000 เฮกตาร์ อีกเป้าหมายหนึ่งคือให้ปลูกผลไม้บนพื้นที่ 800,000 เฮกตาร์ โดยปัจจุบันมีไม้ผลที่ปลูกบนพื้นที่ 600,000 เฮกตาร์ ทั้งนี้กระทรวงจะเน้นการผลิตอาหารที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น และช่วยควบคุมราคาอาหารที่สูงขึ้น

 

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten2022_Govt119.php